นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพครบวงจร เปิดเผยถึงทิศทางและโอกาสการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดปี 2564 ว่ามีแนวโน้มเติบโตที่ดีขึ้น แม้ไม่หวือหวา แต่มียอดขายอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดีมานด์อยู่อาศัยจริงรองรับชัดเจน ไม่มีข้อจำกัดเรื่องราคาที่ดินที่สูงเช่นในกทม. โดยเฉพาะจังหวัดมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ที่ชี้ถึงการเจริญเติบโตของเมืองในหลายๆ มุม เช่น เป็นจังหวัดที่มีแหล่งรายได้จากหลายทาง (เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ) มีสนามบิน แหล่งการศึกษา เป็นต้น
“ปีนี้จะมีปัจจัยบวกคือวัคซีนที่วิจัยสำเร็จ แม้ว่าขณะนี้จะมีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ก็เชื่อว่ารัฐบาลน่าควบคุมได้เร็วกว่ารอบก่อน คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่น่าเกิน 1 เดือน เพราะทุกภาคส่วนต่างก็มีประสบการณ์และเรียนรู้วิธีในการป้องกันตัวเองมาแล้วเป็นอย่างดี เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะตื่นตกใจ (Panic) ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกันกลับมายกระดับมาตรการการดูแลป้องกันที่เข้มข้นมากขึ้นอีกครั้ง มองว่าอาจจะส่งผลกระทบแค่ระยะสั้นๆ และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 1” นายณพงศ์ กล่าว
ดังนั้น ในปี 2564 โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ยังคงยึดกลยุทธ์รุกการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด เน้นตอบโจทย์ความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเรียลดีมานด์ โดยเฉพาะ 2 พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ที่บริษัทได้เข้าไปลงุทนแล้ว ได้แก่ ขอนแก่น และ พัทยา ซึ่งเป็นพื้นที่พบว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจ และมีการเติบโต แม้จะเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่น ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอีสาน ทั้งการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ หรือ เมดิคัลฮับ (Medical Hub) ของภาคอีสาน ซึ่งเป็นสิ่งดึงดูดคนจังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง
โดยดัชนีชี้วัด ในแง่ของกำลังซื้อสูงขอนแก่น จากตัวเลข รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงที่สุดในภาคอีสาน 122,950 บาท/คน/ปี จะเห็นได้ว่าขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อ จากยอดขายของโครงการ “โอเชี่ยน แกรนด์ เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ - ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น บนเนื้อที่ 1 ไร่ 266 ตารางวา มีจำนวนห้องพักอาศัย 236 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท หลังสถานการณ์คลายล็อดดาวน์ สามารถทำยอดขายเฉลี่ยเกินกว่า 10 ยูนิตต่อเดือน ถือว่าทำได้ตามเป้าหมายวางไว้ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40%
ขณะที่พื้นที่เมืองพัทยา ถือเป็นหนึ่งในทำเลหลักของการพัฒนาโครงการ ซึ่งพัทยาได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากนโยบายเร่งเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกทั้ง EEC จะทำให้เมืองพัทยาเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างรวดเร็ว การลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามา เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เมืองชายทะเลที่มีความมั่นงคงมากกว่าเดิม ขณะที่รถไฟความเร็วสูง ซึ่งมีแผนพัฒนาสถานีพัทยาในรูปแบบ TOD จะเพิ่มศักยภาพของพัทยาเพิ่มขึ้น
“ในช่วงปี 2563 แม้มีสถานการณ์โควิด-19 เพราะทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการมีบ้านหลังที่สองเพื่ออยู่อาศัยและพักผ่อนไปด้วยในช่วงเวลาที่ไม่มีความปลอดภัยเกิดขึ้น ทำให้ความต้องการซื้อบ้านหลังที่สองหรือบ้านพักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะพัทยา สะท้อนจากยอดขายโครงการ”โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา “มีการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 350 ล้านบาท โดยพบกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่มีเงินเย็นและมีรายได้สูงเท่านั้น แต่ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆทั้งนักธุรกิจรุ่นใหม่ อายุน้อย รวมถึงลูกค้าชาวจีนที่อาศัยและทำธุรกิจในประเทศไทย สนใจโครงการซื้อมากขึ้นด้วย ที่คาดว่า จะปิดการขายห้องชุดพร้อมอยู่โครงการ โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่ถึง 10% แล้ว จากจำนวน 268 ยูนิต ได้ภายในปีหน้าอย่างแน่นอน ทำให้บริษัทอาจพิจารณาที่จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ เพราะยังมีที่ดินเหลือพัฒนาอีกเกือบ 100 ไร่”
นอกจากนี้ ทางโอเชี่ยนฯ ได้ใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท รีโนเวทโรงแรม โอเชี่ยน มารีน่า ยอช์ท คลับ ครั้งใหญ่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกปี 2564
“คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อสังหาริมทรัพย์ และ การท่องเที่ยวในพัทยาจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะพัทยามีโปรเจคลงทุนค่อนข้างเยอะ ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการอีอีซีที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)” นายณพงศ์กล่าว