แบงก์รัฐมั่นใจมาตรการกระตุ้น ทำอสังหาฯโต

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยในงานเสวนา ปลุกกำลังซื้อ ฟื้นพลังเศรษฐกิจ จุดพลุอสังหาฯ พาไทยติดปีกว่า ยืนยันว่า มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมานั้น มีความเหมาะสม เพราะหากไม่เร่งออกมาตรการออกมา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านแรงงาน สังคม เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยคิดเป็นสัดส่วน 3.8% ของจีดีพี หรือมูลค่ากว่า 4.25 แสนล้านบาท และหากรวมธุรกิจต่อเนื่องจะสูงถึง 20% ของจีดีพี 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมา เพื่อช่วยผู้ประกอบการ แต่ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เอง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมจะต้องระมัดระวังในการเปิดขายโครงการใหม่ เนื่องจากจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายเพิ่มสูงขึ้น 9.16% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม ขณะเดียวกันหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อที่ออยู่อาศัยในภาพรวมปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการขอเงินกู้สูงกว่าราคาที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เกิดหนี้ที่ไม่มีคุณภาพ 

“หนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นจากสินเชื่อประเภทอื่น ปัจจัยหลักมากจากรวมหัวกันของเซลขายบ้านและผู้ซื้อแจ้งขอสินเชื่อในราคาที่สูงกว่าราคาบ้านจริงทำให้เงินกู้ที่ปล่อยไปไม่มีคุณภาพเป็นหนี้ที่ไม่ดีค ดังนั้นจึงฝากถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้ดูแลแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เพื่อช่วยสถาบันการเงินด้วย”นายชาติชาย กล่าว

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ยอมรับว่า สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของ ธอส. ปรับตัวลดลงจากปกติ จากเดิมปล่อยเฉลี่ยเดือนละ 20,000 ล้านบาท เหลือเพียง 14,000 ล้านบาท แต่จากการออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ส่งผลให้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาสามารถปล่อยเพิ่มขึ้นได้เป็น 20,000 ล้านบาทตามภาวะปกติ ทำให้ ธอส.มั่นใจปล่อยสินเชื่อปีนี้ได้ตามเป้าหมาย 203,000 ล้านบาทได้จากปัจจุบันที่ปล่อยได้แล้ว 190,800 ล้านบาท และปีหน้าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้สูงกว่าปีนี้ 3% หรือ 209,000 ล้านบาท

นายพรนริศ ชวนชัยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า คาดว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2562 ว่า จะมีจำนวนหน่วยเหลือขายในกรุงเทพและปริมณฑลในสิ้นปีนี้ 149,000 หน่วย และคาดการณ์ปี 2563 จะมีจำนวน 139,000 หน่วย ลดลงจากปีนี้ 6.7% เนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลจะช่วยให้อุปทานเหลือขายสะสมในตลาดถูกดูดซับออกไป จนสามารถปรับสมดุลให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 138,720 หน่วยได้ ดังนั้นเชื่อว่าทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าจะขยายตัวได้ประมาณ 5% และมีจำนวนโครงการเปิดใหม่ใกล้เคียงจาดยอดการเปิดใหม่ในปีนี้ได้ 

ส่วนผลกระทบจาก พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ยังจะต้องมีการประเมินเมื่อมีการบังคับใช้จริงก่อนว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนยังมีอยู่สูง และทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเติบได้ตามที่คาดการณ์ไว้