สินค้าอาหารแบรนด์ไทย ฉายแววสดใสในอินเดีย

15 ก.ย. 2559 | 14:00 น.
อุตสาหกรรมอาหารในอินเดียมีแนวโน้มเติบโตอย่างสดใสและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากกำลังซื้ออันมหาศาลของประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง และพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่กล้าซื้อกล้าลองสินค้าจากต่างประเทศ นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านและอาหารสำเร็จรูป มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจด้านอาหารในอินเดียจะมีมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านรูปี หรือประมาณ 2 แสนล้านบาทในปี 2018 จากปัจจุบันที่ 2.4 แสนล้านรูปี หรือประมาณ 1.25 ล้านบาท นับเป็นจังหวะทองของผู้ประกอบการไทยเลยก็ว่าได้เพราะธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารเป็นจุดแข็งของไทย

ช่วงกว่า 20 ปี ที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของไทยได้นำร่องเข้าไปปักธงลงทุนขยายธุรกิจด้านอาหารในอินเดีย ทำให้สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มของไทยเป็นที่นิยม มีชื่อติดตลาด และเป็นที่รู้จักในหมู่คนอินเดีย อาทิ ไก่ย่างห้าดาวของซีพี ที่มีแฟรนไชส์กว่า 300 สาขากระจายอยู่ทั่วหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั้งบังกะลอร์ เจนไน และโกชี บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ที่เข้าไปเจาะตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค และมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตในอินเดีย และนมเปรี้ยวดัชมิลล์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค มียอดขายทะลุเป้า ล่าสุดบริษัทได้เริ่มขยายตลาดไปยังกรุงนิวเดลีและเมืองไฮเดอราบัดเป็นที่เรียบร้อย

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมในหมู่คนอินเดีย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ซึ่งประชากรมีรายได้สูงคือ คนอินเดียนิยมมาท่องเที่ยวในประเทศไทยและหลงรักความเป็นไทย ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวอินเดียหลั่งไหลมาไทยเกือบ 1 ล้านคน รวมทั้งอินเดียยังมีวัฒนธรรมการกินคล้ายคลึงกับไทยอย่างการกินข้าว การกินแกง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ที่ตีตราว่าเป็นสินค้าจากประเทศไทย

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังศึกษาลู่ทางตลาดอินเดียอยู่ โอกาสนั้นมาถึงแล้ว เพราะเป็นยุคที่นโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาลอินเดียกำลังเฟื่องฟู รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมดี ประกาศเดินเครื่องส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศอย่างเต็มที่ผ่านนโยบาย Make in India มาตั้งแต่ปี 2014 โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 100% ในบางสาขา มีการอำนวยความสะดวกโดยใช้นโยบายผ่อนปรนด้านการลงทุน รวมถึงได้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในหลายรัฐทั่วประเทศ และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งสินค้า ในขณะที่รัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลง FTA ไทย-อินเดีย ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศมากยิ่งขึ้น อินเดีย ประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียรองจากจีน และญี่ปุ่น ในนาทีนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงละเลยไม่ได้ และควรเร่งเครื่องธุรกิจจับจองพื้นที่ทางการตลาดก่อนที่ระดับการแข่งขันในดินแดนภารตจะพุ่งทะยานสูงไปกว่านี้

หากตลาดนี้อยู่ในความสนใจ วันที่ 12 กันยายน ศกนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี นำทีมจัดสัมมนาเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของตลาดอินเดียภายใต้หัวข้อ ‘จัดกระบวนทัพ SMEs ไทยสู่ตลาดภารตะ’ ใน ณ ห้องนภาลัย บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี ระหว่างเวลา 9.00-16.30 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaibiz.net/th/event-calendar/20752/

พบกับอัพเดตความเคลื่อนไหวและโอกาสในตลาดต่างประเทศที่สถานทูตไทยทั่วโลกตั้งใจติดตามมาให้ภาคเอกชนไทยได้ที่เว็บไซต์ www.ThaiBiz.net หากมีข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สามารถเขียนมาคุยกันได้ที่ [email protected]

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,191 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2559