เป๊ปซี่-โค้กร่วมอนุรักษ์น้ำ

07 กันยายน 2559
อุตสาหกรรมผลิตน้ำอัดลมจำเป็นต้องใช้น้ำสะอาดปริมาณมากมายมหาศาลสำหรับกระบวนการผลิต ในยามที่ชุมชนหรือพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงโรงงานประสบภาวะภัยแล้ง บริษัทผู้ผลิตน้ำอัดลมจึงมักตกเป็นจำเลยสังคมอันดับ 1 อยู่บ่อยๆว่าเป็นตัวดูดน้ำไปใช้ ทำให้ประชาชนขาดแคลนน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างโคคา-โคลาและเป๊ปซี่โค ตระหนักมานานและพยายามนำมาตรการต่างๆมาใช้เพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่ามากขึ้น

ยกตัวอย่างกรณีของโคคา-โคลาที่มีนโยบายอนุรักษ์แหล่งน้ำมา 9 ปีแล้ว โดยบริษัทตั้งเป้าว่าโรงงานใช้น้ำในกระบวนการผลิตมากเท่าไหร่ ก็จะพยายามผลิตน้ำทดแทนให้ได้มากเท่านั้น และเมื่อเร็วๆนี้ บริษัทก็ได้ประกาศถึงความสำเร็จว่าสามารถทำได้แล้วตามเป้าหมาย

ในงานเวิลด์ วอเทอร์ วีค 2016 (World Water Week) หรือสัปดาห์น้ำโลก ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อเร็วๆนี้ โคคา-โคลา ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตน้ำอัดลมได้ประกาศว่า ในปี 2558 บริษัทสามารถนำน้ำกลับคืนสู่แหล่งธรรมชาติได้ถึง 191,900 ล้านลิตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 115% ของปริมาณน้ำที่โรงงานของบริษัทใช้ในการผลิต ข้อมูลดังกล่าวได้รับการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระและสถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนเจอร์ คอนเซอร์แวนซี ของสหรัฐอเมริกา
นายมุห์ทาร์ เคนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโคคา-โคลา เปิดเผยว่า ความสำเร็จดังกล่าวเป็นความภูมิใจของบริษัทและพันธมิตรร่วมโครงการ "โครงการที่เริ่มต้นขึ้นในปี 2550 โดยเป็นเพียงความมุ่งมาดปรารถนา ในวันนี้ได้กลายมาเป็นความจริงและเป็นก้าวย่างสำคัญที่บริษัทจะดำรงไว้ตลอดไปควบคู่ไปกับการเจริญเติบโตของธุรกิจ"

ก่อนหน้านี้ โคคา-โคลาเคยประกาศชัดเจนว่า จะเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายแรกของโลกที่นำน้ำคืนสู่ธรรมชาติและชุมชนให้ได้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในวันนี้

งานสัปดาห์น้ำโลกที่กรุงสตอกโฮล์มเป็นงานประจำปีที่จัดโดยสถาบันน้ำระหว่างประเทศแห่งกรุงสตอกโฮล์ม (SIWI) มีเป้าหมายรณรงค์ประเด็นต่างๆเกี่ยวกับแหล่งน้ำและคุณภาพน้ำระดับโลก และสำหรับปี 2559 นี้ เนื้อหาสำคัญคือการอนุรักษ์น้ำเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Water for Sustainable Growth) มีผู้มาร่วมการสัมมนามากกว่า 3,300 คน จาก 300 องค์กร และจาก 130 ประเทศทั่วโลก

ในแต่ละปี โคคา-โคลา ใช้น้ำมากกว่า 300,000 ล้านลิตร สำหรับการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อต่างๆที่บริษัทมีอยู่ ภายใต้นโยบายคืนน้ำสู่แหล่งธรรมชาติ บริษัทมีสโลแกนว่า ทุกหยดที่ใช้ เราจะคืนให้ธรรมชาติ (For every drop we use, we give one back) ซึ่งกิจกรรมต่างๆของโครงการมีหลายรูปแบบ เช่น การให้ความสนับสนุนในการอนุรักษ์น้ำสะอาดในชุมชน การให้ความสนับสนุนโครงการกักเก็บและอนุรักษ์น้ำ รวมทั้งการให้ความสนับสนุนโครงการปลูกป่า เป็นต้น

ทางด้านคู่แข่งอย่างเป๊ปซี่ก็มีนโยบายใช้น้ำอย่างประหยัดและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำเช่นกัน โดยมีแนวคิดว่า น้ำไม่ใช่อภิสิทธิ์ แต่เป็นสิทธิของทุกคน ดังนั้นบริษัทจึงมีโครงการคุ้มครองและรักษาคุณภาพของแหล่งน้ำในหลายประเทศทั่วโลก และสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่มีช่องทางเข้าสู่แหล่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับการอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ข้อมูลของเป๊ปซี่โคชี้ว่า ในปี 2558 บริษัทสามารถลดปริมาณการใช้น้ำลงถึง 26% เมื่อเทียบกับสถิติในปี 2549 ซึ่งนับว่าทำได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ (เป้าหมายตั้งไว้เพียง 20%)

ผู้บริหารของเป๊ปซี่โคเปิดเผยว่า มาตรการประหยัดการใช้น้ำของบริษัทระหว่างปี 2554-2558 ช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดต้นทุนผลิตได้มากกว่า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาตรการประหยัดน้ำนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรวมด้านสิ่งแวดล้อมของเป๊ปซี่โคซึ่งช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนโดยรวมได้แล้วกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยองค์ประกอบหลักๆของนโยบายนั้นได้แก่ โครงการอนุรักษ์และประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน ประหยัดการใช้บรรจุภัณฑ์ และลดการก่อขยะและของเสีย เป้าหมายต่อไปในอนาคตคือการจัดหาแหล่งน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญทั่วโลก

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มูลนิธิ PepsiCo Foundation ร่วมมือกับองค์กรเอกชนไม่แสวงผลกำไร ดำเนินโครงการช่วยให้ประชาชน 9 ล้านคนในหลายประเทศสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำที่สะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภค นับเป็นความสำเร็จเกินเป้าที่ตั้งไว้แต่แรกเพียง 6 ล้านคน ผู้บริหารของเป๊ปซี่โคให้ความเห็นทิ้งท้ายไว้ว่า บริษัทจะดำเนินโครงการนี้ต่อไปเพราะ "ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดของประชาชนเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และสุขอนามัยของประชาคมโลก"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 4 - 7 กันยายน พ.ศ. 2559