โบรกเกอร์แข่งบริการเทรดหุ้นต่างประเทศ

04 ก.ย. 2559 | 07:00 น.
โบรกเกอร์ใหญ่แข่งดึงลูกค้าเทรดหุ้นต่างประเทศ กลุ่มเมย์แบงก์จับมือตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ พาบจ.แดนลอดช่องบุกจัดงานในไทยให้ข้อมูลนักลงทุนกระจายการลงทุนสู่ภูมิภาคอาเซียน บล. กสิกรไทย เตรียมขยายตลาดพาลูกค้าเทรดตลาดเวียดนาม พร้อมลุยหุ้นกู้

[caption id="attachment_92812" align="aligncenter" width="336"] มนตรี ศรไพศาล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)( MBKET) มนตรี ศรไพศาล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)( MBKET)[/caption]

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)(MBKET) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (SGX) และ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (สิงคโปร์) จัดงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์พบผู้ลงทุน เมื่อเร็วๆนี้ ภายใต้หัวข้อ "Singapore: Diversification, Done." โดยมีนักลงทุนสถาบันของประเทศไทยจำนวน 50 รายและบจ.จำนวน 10 บริษัทร่วมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อลงทุนในบจ.ของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพื่อการกระจายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน

ทั้งนี้บจ.ที่เข้าร่วมงานดังกล่าวมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีการลงทุนข้ามชาติไปยังประเทศจีน มาเลเซีย อินเดีย ญี่ปุ่นและ สิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสถาบันของไทยสามารถกระจายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ และสินทรัพย์ทางการเงินที่หลากหลาย รวมไปถึงโกดังสินค้า ศูนย์บริการข้อมูล สนามกอล์ฟ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โรงพยาบาล และ ทองคำ

การจัดงานดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนให้กับผู้ลงทุนไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเครือข่ายกลุ่มเมย์แบงก์ในภูมิภาคนี้ ประเทศสิงคโปร์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของธุรกิจหลักในอาเซียน และจะยังคงได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศอีกด้วย

นายมนตรี กล่าวว่า จากรายงานของบลูมเบิร์ก เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ Strait Times ให้อัตราการเติบโตของผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในรอบระยะเวลา 10 ปีเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 4 % ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเซียเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 2.7 %

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ Kasikorn Securities Offshore Investment : KSOI)ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนให้การตอบรับอย่างดีและสมัครใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าหมาย 100 บัญชีที่วางไว้ โดยให้บริการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ ครอบคลุม 31 ประเทศ รวม 41 ตลาดทั่วโลก

ปัจจุบันมีจำนวนบัญชีนักลงทุนที่เปิดสำหรับการลงทุนต่างประเทศ 200 บัญชี มูลค่าการลงทุนรวม 200-300 ล้านบาท ส่วนใหญ่นิยมไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา รองลงมาเป็นญี่ปุ่น และฮ่องกง โดยจุดเด่นของบริการนี้ คือ นักลงทุนจะจ่ายค่าคอมมิชชั่นแค่เพียง 0.2% ของมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรม ที่อยู่ประมาณ 0.30-0.35% รวมถึงยังมีจุดเด่นด้านอัตราแลกเปลี่ยน และยังสามารถติดตามราคาหุ้นได้เรียลไทม์

ขณะที่ในอนาคตบล.กสิกรไทย มีแผนขยายตลาดการลงทุนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยจะเพิ่มในส่วนตลาดหุ้นเอเชีย เช่น เวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีจำนวนหุ้นให้เลือกค่อนข้างมาก เพียงแต่ในปัจจุบันยังอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้น้อย นอกจากนี้ยังมองไปถึงหุ้นกู้ในต่างประเทศด้วย

นายธิติ กล่าวว่า การไปลงทุนต่างประเทศยังช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ไม่มีในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ,บริษัทยาที่มีลิขสิทธิ์เป็นของตนเอง และไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น เรียกว่าเป็นโอกาสในการเอกลงทุนหุ้นกลุ่มอื่นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการตั้งวงเงินขนาดใหญ่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการออกไปลงทุนยังต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละบุคคลก็จะมีวงเงิน หรือช่องทางในการไปลงทุนที่ค่อนข้างมาก

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,187 วันที่ 1 - 3 กันยายน พ.ศ. 2559