AECS มองดัชนีเดือนก.ย.แกว่งตัวในกรอบ 1,500 – 1,590 จุด

29 ส.ค. 2559 | 09:10 น.
บล.เออีซี มองแนวโน้มดัชนีเดือนกันยายน คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,500-1,590 จุด จับตานโยบายการเงินโลกสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะลงทุนหุ้นราคาไม่แพง มีปัจจัยรองรับ ชูกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รับอานิสงส์รัฐเปิดประมูลงานมูลค่า 1.58 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/2559

นายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์  บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS  เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนเดือนกันยายนว่า บริษัทประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบที่ระดับ  1,500-1,590 จุด โดยมองว่าเป็นจังหวะสำคัญในการประเมินผลตอบแทนการลงทุน ก่อนที่ตลาดหุ้นโลกจะเข้าสู่ช่วงการลงทุนรอบใหม่

ทั้งนี้หากประเมินทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวได้สูง  และมีปัจจัยสนับสนุนแรง แทนการเลือกหุ้นที่เป็น  Cheap Valuation, High Dividend แต่ Low Beta การขึ้นของ SET รอบนี้จะมีหุ้น High Beta ที่ปรับตัวได้แรง และความกลัวทีเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน เป็นตลาดที่กลยุทธ์ Trading Strategy จะมีความน่าสนใจกว่า  Buy  and  Hold

ปัจจัยนโยบายการเงินโลกสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเล็งเห็นประเด็นสำคัญในตลาดการเงินโลก คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate 1 ครั้ง แตกต่างจากการขึ้น อัตราดอกเบี้ยแบบต่อเนื่องผลกระทบไม่ได้มีนัยสำคัญและนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ มีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น  จับตาทิศทางนโยบายการเงินของ BoJ, ECB, BoE ที่มีโอกาส Surprise ในทางบวก ตลาดหุ้น Emerging Market รวมถึง SET  ยังเป็น  Destination  ที่สำคัญของโลก

ดังนั้นบริษัทฯแนะนำให้เลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ พร้อมกับเลือกบริษัทที่มีความแข็งแรงของ Business Model โดยกลุ่มแรกเลือกลงทุนกลุ่มที่มีรับประโยชน์จากการประมูลภาครัฐฯ 1.58 แสนลบ. ที่กำลังจะเข้ามา ในช่วงไตรมาส 4/2559 เช่น โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย, 1 รถไฟรางคู่ และโครงการที่เข้ามาเพิ่ม East West Corridor ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด โดยกลุ่มรับเหมาฯก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปรับเพิ่ม ผลการดำเนินงานปี 2560 เพิ่ม 42% ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นกลุ่มที่ยังต้องเลือกเป็นอันดับ 1 ของทีมกลยุทธ์ เลือก   CK, UNIQ, SYNTEC, STEC, PYLON  เป็น Top  Strategic  Call

กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อบริษัทในกลุ่ม อาหาร, กลุ่มพาณิชย์โดยเลือก หุ้น  BR, GFPT, CBG ต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม  รวมทั้งกลุ่มการท่องเที่ยวมองว่ายังคงเป็นจุดแข็งหลักของเศรษฐกิจไทย ยังคงเลือก BA, AAV, AOT เป็น Top Pick  และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ERW, MINT และกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่ใช่จุดแข็งของประเทศไทยตอนนี้คือ  FDI, BOI