กกพ. ตรึงค่าเอฟทีเท่ากับงวดที่ผ่านมาที่ -33.29 สตางค์ต่อหน่วย

17 ส.ค. 2559 | 09:18 น.
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติเห็นชอบให้ตรึงค่าเอฟทีในงวดเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 2559 เท่ากับงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา เท่ากับ -33.29 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าและราคาก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในต้นปีหน้า รวมถึงรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายรัฐในรูปแบบ Adder และ FiT ที่จะทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้ามาในช่วงปลายปี 2559

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)  เปิดเผยภายหลังจากการประชุม กกพ. ว่า กกพ. ได้พิจารณาค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2559 ในอัตรา -33.29 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งมีค่าคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเอฟทีที่เรียกเก็บในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2559 ที่ -33.29 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อให้รองรับแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าและราคาก๊าซธรรมชาติที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในต้นปีหน้า รวมถึงรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่จะทยอยเข้ามาอย่างมากในช่วงปลายปี 2559 โดยคาดการณ์ว่าหากไม่มีการตรึงค่าเอฟทีในงวดนี้แล้ว จะส่งผลทำให้ค่าเอฟทีงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2560 ปรับตัวสูงขึ้นมากจนเกินไป

ทั้งนี้ สถานการณ์ค่าเอฟทีในส่วนของเชื้อเพลิงในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2559 ยังมีแนวโน้มที่ลดลงจากงวดก่อนโดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการปรับลดค่าเอฟทีในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2559 นี้ คือ ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ามีการปรับราคาลดลงประมาณ 6 บาทต่อล้านบีทียู รวมทั้งราคาน้ำมันเตาและถ่านหินนำเข้าก็มีการปรับราคาลดลงด้วย แต่ค่าการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ FiT มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วง ก.ย. - ธ.ค. 59

นอกจากนี้ โฆษก กกพ. ยังได้กล่าวสรุปถึงปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลิงและการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม 2559 ดังนี้  1. อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจำนวน 0.14 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนขายถัวเฉลี่ยธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกิดขึ้นจริงเฉลี่ยเดือน ก.ค. 59 ที่ 35.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ  2. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2559 เท่ากับ 62,097 ล้านหน่วย ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค. 2559 (3,443 ล้านหน่วย) ร้อยละ 5.25  3. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2559 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักร้อยละ 62.87 รองลงมาเป็นการซื้อไฟฟ้าจากลาวและมาเลเซียร้อยละ 16.57 ถ่านหินลิกไนต์ร้อยละ 9.30 และถ่านหินนำเข้าร้อยละ 9.17

4. แนวโน้มราคาเชื้อเพลิง คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 236.04 บาทต่อล้านบีทียู ปรับตัวลดลงจากงวดที่ผ่านมา 6.24 บาทต่อล้านบีทียู ราคาน้ำมันเตาอยู่ที่ 10.11 บาทต่อลิตร ปรับตัวลดลง 2.48 บาทต่อลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 20.13 บาทต่อลิตร ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.74 บาทต่อลิตร ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,581.05 บาทต่อตัน ปรับลดลง 162.06 บาทต่อตัน ตามราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ทยอยลดลง และราคาลิกไนต์อยู่ที่ 693 บาทต่อตัน ไม่เปลี่ยนแปลง  นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของภาครัฐ ได้แก่ Adder และ FiT ในเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2559 ได้ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนทั้ง SPP และ VSPP ได้ทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ จึงส่งผลต่อค่าเอฟทีประมาณเพิ่มขึ้น 2.62 สตางค์ต่อหน่วย ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการนำส่งเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าได้ลดลงเล็กน้อยจำนวน 0.52 สตางค์ต่อหน่วย

5. จากการปรับการคำนวณค่าเอฟทีเดือน พ.ค. - ส.ค. 2559  ทำให้มีส่วนต่างของเงินค่าเอฟทีที่คำนวณได้ และค่าเอฟทีที่คาดว่าจะเรียกเก็บ (ค่า AF) สะสมจำนวน -8,893.06 ล้านบาท หรือเท่ากับ -15.70 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2559 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงการที่โรงไฟฟ้าเอกชนหลายแห่งโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าหงสาลิกไนต์ของ สปป.ลาว มีการหยุดซ่อมบำรุงนอกแผนจึงทำให้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าน้อยกว่าประมาณการมากด้วย

จากการกำหนดค่าเอฟทีเรียกเก็บงวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2559 ในอัตรา -33.29 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งคงที่เท่ากับงวดที่แล้ว จะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.4227 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจากมติ กกพ. ดังกล่าวข้างต้น สำนักงาน กกพ. จะเผยแพร่รายละเอียดทั้งหมดผ่านทาง www.erc.or.th  เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2559 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2559 ก่อนที่จะนำผลการรับฟังความคิดเห็น มาพิจารณาและให้การไฟฟ้าประกาศเรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับค่าเอฟทีสำหรับเรียกเก็บในรอบดังกล่าวอย่างเป็นทางการต่อไป