โพลล์เผยแม่เตือนลูกเรื่องการใช้เงินฟุ่มเฟือยมากสุด

11 ส.ค. 2559 | 05:20 น.
โพลล์ระบุ การใช้เงินฟุ่มเฟือย การไม่รักษาความเรียบร้อยในห้องนอน และการไม่อยู่ติดบ้าน คือ 3 เรื่องที่กลุ่มวัยรุ่นถูกแม่ตักเตือนมากที่สุด  เชื่อว่าการตักเตือนของคุณแม่ทำให้ประสบความสำเร็จในสังคมได้

เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2559 สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือน

ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ เผยว่า  จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 50.82 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 49.18 เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15 ถึง 25 ปี สามารถสรุปผลได้ดังนี้ สำหรับเรื่องที่กลุ่มตัวอย่างถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนมากที่สุด 5 อันดับได้แก่ การใช้เงินฟุ่มเฟือยไม่รู้จักเก็บออมคิดเป็นร้อยละ 87.7 การไม่รักษาความสะอาดเรียบร้อยในห้องนอน/เตียงนอนคิดเป็นร้อยละ 86.07 การไม่อยู่ติดบ้าน/การติดเพื่อนคิดเป็นร้อยละ 83.75 การกลับบ้านไม่ตรงเวลา/กลับบ้านดึกคิดเป็นร้อยละ 81.6 และการนอนดึกตื่นสายคิดเป็นร้อยละ 79.36 อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 51.68 ยอมรับว่าตนเองมีพฤติกรรมในเรื่องที่ถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนจริงทุกเรื่อง รองลงมายอมรับว่ามีพฤติกรรมจริงเป็นส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 25.11 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 15.48 ระบุว่ามีพฤติกรรมจริงประมาณครึ่งหนึ่ง และกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 52.19 ยอมรับว่าตนเองเคยถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องเดียวกันมากกว่า 1 ครั้ง ภายในรอบ 1 สัปดาห์เป็นประจำ

ในด้านความรู้สึกต่อการถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 44.63 ยอมรับว่าตนเองเคยรู้สึกโกรธ/ไม่พอใจเวลาถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนบ้างเป็นบางครั้ง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 36.20 ระบุว่าตนเองไม่เคยรู้สึกโกรธเลย อย่างไรก็ตามมีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 19.17 ที่ยอมรับว่าเคยรู้สึกเป็นประจำ ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 42.56 ระบุว่าตนเองเคยรู้สึกเบื่อหน่าย/รำคาญเวลาถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนบ้างเป็นบางครั้ง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34.14 ระบุว่าตนเองไม่เคยรู้สึกเลย โดยที่มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 23.3 ยอมรับว่าตนเองเคยรู้สึกเบื่อหน่าย/รำคาญเป็นประจำ

นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 72.83 ยอมรับว่าตนเองรู้สึกเสียใจเมื่อไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมในเรื่องที่ถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนได้ ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างมากกว่าสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 68.96 เชื่อว่าหากตนตั้งใจปรับปรุงแก้ไขเรื่องที่ถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนอย่างจริงจังตนเองจะสามารถทำสำเร็จได้  ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 71.63 มีความคิดเห็นว่าการว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องต่างๆของคุณแม่จะมีส่วนทำให้ตนเองกลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมในอนาคตได้  ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 72.14 มีความคิดเห็นว่าการว่ากล่าวตักเตือนของคุณแม่ในเรื่องต่างๆจะมีส่วนทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน/การเรียนได้ และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 71.28 มีความคิดเห็นว่าการถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องต่างๆจะไม่มีส่วนทำให้ตนเองไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่

สำหรับพฤติกรรมการปรับปรุงแก้ไขเรื่องที่คุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 43.42 ยอมรับว่าตนเองสามารถปรับปรุงแก้ไขในเรื่องที่ถูกคุณแม่ว่ากล่าวตักเตือนให้ดีขึ้นได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 28.03 และร้อยละ 18.74 ระบุว่าตนเองสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้มากกว่าครึ่งหนึ่งและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในทุกเรื่องเลยตามลำดับ ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 7.14 ยอมรับว่าตนเองสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง และร้อยละ 2.67 ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในทุกเรื่องเลย ศ.ดร.ศรีศักดิ์กล่าว