สแกน‘หุ้นเด็ด’รับอานิสงส์ร่างรัฐธรรมนูญฉลุย

11 ส.ค. 2559 | 10:30 น.
นักวิเคราะห์เปิดโผหุ้นเด็ดหลังประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ แนะ“เพิ่มนํ้าหนัก” ลงทุนหุ้นเกี่ยวข้องลงทุนภาครัฐ ช.การช่าง ซิโน-ไทยฯ ปูนซิเมนต์ไทย ส่วนเอไอเอส แบงก์ไทยพาณิชย์ โฮมโปรฯ เคซีอี ถือรอทำกำไรเตือนตลาดหุ้นไปต่อแต่ต้องระวัง บล.กสิกรไทยฯ แนะจุดสังเกต พีอี 17 เท่าต้องขายทำกำไร คาดรอบนี้เงินต่างชาติไหลเข้าทุบสถิติใหม่ 1.2 แสนล้านบาท

[caption id="attachment_84065" align="aligncenter" width="700"] ดัชนีหุ้นไทยในรอบเดือน ดัชนีหุ้นไทยในรอบเดือน[/caption]

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(บมจ.) แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นหลังประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ว่าให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันมีเวลาที่ค่อนข้างจำกัดในการที่จะผลักดันโครงการต่าง ๆออกมา โดยหลังจากนี้จะมีการกระตุ้นและอัดฉีดโครงการต่าง ๆ ออกมามาก ซึ่งหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ในเรื่องดังกล่าว คือ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หุ้นแนะนำ คือ บมจ. ช.การช่าง (CK), บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC )และบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)

ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจ คือ กลุ่มส่งออกอาหารทะเล โดยหากดูตัวเลขการส่งออกอาหารทะเลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าเป็นบวก อีกทั้งราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มนี้ ได้แก่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ( TU ) และบมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)

สำหรับหุ้นที่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็นหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงก่อนหน้านี้ และในระยะยาวเริ่มที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น บมจ. พีทีที โกลบอลเคมิคอล (PTTGC) ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นราคาหุ้นอาจจะมีการฟื้นตัวกลับมาในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น

ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์แม้ว่ายังต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล (NPL) ในไตรมาส 3/2559 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่อาจยังมีแนวโน้มลดลง แต่ยังมองว่าหลังจากไตรมาส 3/2559 เป็นต้นไปจะเริ่มมีการทรงตัวมากขึ้น โดยหุ้นแนะนำในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB )ซึ่งราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน

กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ยังแนะนำให้นักลงทุนถือต่อไป แต่หากนักลงทุนยังไม่มีหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ในพอร์ต แนะนำให้รอราคาหุ้นปรับตัวลดลง เพราะที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว จากความคาดหวังในเรื่องการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ

บทวิเคราะห์บล.กสิกรไทยฯ ระบุว่า นักลงทุนต่างประเทศมาตามคาด มองรอบขาเข้านี้มีโอกาสทำสถิติใหม่เกิน 1.2 แสนล้านบาท ขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทย เดินหน้าต่อในระยะสั้น แต่ยังคงมองว่าโซนใกล้ระดับอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี เรโช) ที่ 17 เท่าเป็นบริเวณที่ต้องขายหุ้นแพงที่เกินมูลค่าพื้นฐาน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนอิงกับหุ้นได้ประโยชน์จากการเร่งเกิดโครงการสาธารณูบริโภคพื้นฐาน เลือก CK STEC SCC เป็นหุ้นเด่น นอกนั้นบมจ. กรุงเทพประกันภัย(BLA ) เป็นหุ้นเด่นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC ) หรือเอไอเอส บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์( SCB) ส่วนบมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ ( HMPRO ) และเคซีอี อิเล็คทรอนิกส์ ( KCE )ถือเพื่อทำกำไรในระยะต่อไป

นายปรเมศร์ทองบัว ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล. บัวหลวง กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมนี้อาจจะมีการปรับฐาน จากแรงเทขายทำกำไรที่จะมีออกมาหลังดัชนีปรับตัวขึ้นรับปัจจัยบวกเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะไม่หลุดระดับ 1,500 จุด เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปมากและราคาหุ้นที่ซื้อขายก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งระดับพี/อี ในปัจจุบันที่ 16.5 เท่า ใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 16.7 เท่า ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างแพงในภาวะที่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยไม่ดีเท่าเดิม อีกทั้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ไตรมาส 2/2559 และไตรมาส 3/2559 ส่วนใหญ่จะออกมาไม่ดี ซึ่งทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา และทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง

นายปรเมศร์ กล่าวว่า ในระยะยาวยังคงต้องติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นมากกว่าปัจจุบันหรือไม่ เนื่องจากการขยายตัวในระดับ 3% เป็นระดับที่กลาง ๆ ซึ่งจะมีผลให้อัตราการเติบโตของกำไรบจ. ไม่มากนัก ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามมีการลงทุนของภาครัฐที่ยังเป็นแรงหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อยู่

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,182 วันที่ 11 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559