เบนซ์ยอดขายโตฉลุย โชว์โฉม GLE 500e ปลั๊ก-อินไฮบริด

08 ส.ค. 2559 | 10:00 น.
แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2559 จะไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก เมื่อดูจากตัวเลขการขายในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อโฟกัสดูเฉพาะตลาดรถหรู หรือโฟกัสเฉพาะแบรนด์อย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็พบว่ามีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ยอดขายของรถจากค่ายดาวสามแฉกเติบโต และอะไรที่จะถูกขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต วันนี้ผู้กุมบังเหียนใหญ่อย่าง”นายไมเคิล เกรเว่ “ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด จะเป็นผู้บอกกล่าว

ผลประกอบการ 7 เดือนเติบโต

ยอดขายในปี 2558 เมอร์เซเดส-เบนซ์ สามารถทำได้ 1.2 หมื่นคัน เติบโต 12.78 % เมื่อเทียบกับปี 2557 ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนทำได้ 6,504 คัน เติบโต 8 % เฉพาะเดือนกรกฎาคม สามารถทำยอดขายได้กว่า 1,200 คัน ซึ่งปัจจัยที่มีผลทำให้ยอดขายโตประกอบไปด้วย โปรดักต์ที่หลากหลาย มีรถหลายรุ่นเปิดตัวสู่ตลาด การบริการหลังการขายที่ครอบคลุมผ่านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ด้านภาพรวมตลาดรถหรูในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีตัวเลขการขายประมาณ 9,769 คัน ลดลง 4 % แต่คาดว่าจนถึงสิ้นปีตัวเลขการขายรวมจะอยู่ที่ 2.2 -2.3 หมื่นคัน เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

กลยุทธ์การตลาดในครึ่งปีหลัง

บริษัทยังคงแนะนำรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4 MATIC รถในกลุ่มเอสยูวีที่มีจุดเด่นคือ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปลั๊ก-อินไฮบริด โดยมีให้เลือก 2 ดีไซน์ ได้แก่ GLE 500 e 4MATIC Exclusive สนนราคา 4.49 ล้านบาท และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic สนนราคา 4.99 ล้านบาท โดยรถทั้ง 2 ดีไซน์ ถือเป็นโมเดลที่ 3 ในกลุ่มปลั๊กอินต่อจาก S-Class ในรุ่น S 500 e ,C-Class ในรุ่น C 350e ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี โดยรถทั้ง 3 รุ่นนี้ประกอบจากโรงงานธนบุรีฯในไทย

สำหรับจุดเด่นของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 83 กรัม/กิโลเมตรและมาพร้อมระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี เทอร์โบคู่ อินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม. ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง มีระบบหล่อเย็นจาก น้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม.

ขณะที่กลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ ยังมีการนำเสนอแคมเปญ DEFINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบหนังสั้น เรื่อง “Loopbreaker” โดยมีแบรนด์แอมบาสซาเดอร์อย่าง ชมพู่- อารยา เอ. ฮาร์เก็ต นำแสดงและมีผู้กำกับชื่อดังอย่างเป็นเอก รัตนเรือง ที่ได้ถ่ายทอดนิยามใหม่ของยนตรกรรม Mercedes-Benz electric Driving ทั้งด้านนวัตกรรม ด้านสมรรถนะ และ ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

แผนเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานทางเลือก

เทรนด์จะเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่มีเทคโนโลยีบลูเทค ไฮบริด ตอนนี้ก็เป็นปลั๊กอิน ไฮบริดแทน และในอนาคตคือรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการจะก้าวไปถึงรถไฟฟ้าจะต้องใช้เวลา เพราะต้องดูนโยบายของภาครัฐฯกฎระเบียบ กติกาต่างๆ อินฟราสตรักเจอร์หรือโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ สถานีชาร์จ ที่จะมารองรับ แต่ก็ยืนยันว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ครบไลน์ ซึ่งหมายถึงจะได้เห็นรถไฟฟ้าภายในปี 2025 อย่างแน่นอน

รัฐบาลประกาศสนับสนุนรถไฟฟ้า

รู้สึกยินดีที่ภาครัฐมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้า เพราะจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ประการต่อมาคือ ไทยเป็นดีทรอยต์ของเอเชีย เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ หากมีการผลักดันโครงการผลิตรถไฟฟ้าก็จะทำให้ไทยมีความแข็งแกร่ง และเป็นการต่อยอดเทคโนโลยีที่ทันสมัย นอกจากนั้นแล้วมองว่าหากไทยสามารถเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ คอนเวอร์เตอร์ ตรงจุดนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดี

สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีความสนใจที่จะลงทุนในไทย โดยจะสนับสนุนอุปกรณ์ ช่วยด้านโนว์ฮาวต่างๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็ไม่ได้รอให้รัฐมาให้อินเซนทีฟ (แรงจูงใจ) แต่มีการนำรถที่เป็นพลังงานทางเลือกเหล่านี้เข้ามาทำตลาดเพื่อมอบสิ่งที่ดีให้กับลูกค้าอยู่แล้ว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,181 วันที่ 7 - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559