รัฐจี้แทปไลน์ดองท่อนํ้ามันอีสาน ล่าช้าหวั่นผู้บริโภคใช้ราคาต่างกัน

01 ส.ค. 2559 | 10:00 น.
"กรมธุรกิจพลังงาน" เตรียมเรียกแทปไลน์ สางปัญหาท่อส่งน้ำมันสายอีสานล่าช้า หลังได้บริษัท เอสซีฯ เชื่อมระบบท่อน้ำมันแล้ว แต่ยังไม่ยอมรายงานให้ทราบ จี้ต้องการความชัดเจนหวังให้ผู้ประกอบการเซ็นเอ็มโอยูก่อสร้างให้เสร็จทันท่อน้ำมันสายเหนือ ในปี 2561 เพื่อให้ทุกภาคใช้น้ำมันได้ในราคาเดียวกัน

นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในช่วงต้นเดือนสิงหาคนี้ กรม จะเชิญผู้บริหารบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) เพื่อสอบถามถึงความล่าช้าในการตัดสินใจคัดเลือกผู้ประกอบการที่จะเชื่อมต่อท่อส่งน้ำมันที่จ.สระบุรี เพื่อเดินหน้าโครงการท่อส่งน้ำมันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน) จากสระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น ซึ่งควรจะมีคำตอบและความชัดเจนออกมานานแล้ว แต่ขณะนี้พบว่ายังไม่มีอะไรที่ชัดเจน โดยล่าช้ากว่าแผนเกือบครึ่งปีแล้ว

โดยกรมจะสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ทำไมยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจนออกมา แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการบริษัท(บอร์ด)แทปไลน์จะเลือกบริษัท ไทย ไปปน์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ภายใต้กลุ่มบริษัท เอส ซี กรุ๊ปฯ แล้วก็ตาม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหนังสืออย่างเป็นทางการออกมาจากแทปไลน์แต่อย่างใด ซึ่งกรมฯต้องการให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เนื่องจากจากทางเอสซีจะได้เซ็นเอ็มโอยูกับทางกรม จากนั้นก็เริ่มกระบวนการรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) การออกแบบ และดำเนินก่อสร้างท่อส่งน้ำมันเส้นอีสานต่อไป ซึ่งต้องการให้โครงการดังกล่าวเสร็จไล่เลี่ยกับโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นเหนือ(บางปะอิน-ลำปาง) ที่จะแล้วเสร็จประมาณปี 2561

ทั้งนี้ กรมจำเป็นต้องเร่งโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นอีสาน ซึ่งตามกำหนดจะต้องแล้วเสร็จภายในปี 2562 เนื่องจากกังวลว่าหากโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นอีสานล่าช้ากว่าแผนมาก ขณะที่โครงการท่อส่งน้ำมันเส้นเหนือเสร็จแล้ว จะทำให้ส่วนต่างราคาน้ำมันแต่ละภาคห่างกันมาก จนเกิดความไม่เป็นธรรม ซึ่งประชาชนทุกภาคควรใช้ราคาน้ำมันในระดับใกล้เคียงกัน

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการท่อส่งน้ำมันเส้นอีสานของเอสซี กรุ๊ป จะต่อขยายจากระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อเดิมของแทปไลน์ที่คลังน้ำมันอำเภอเสาไห้ จ.สระบุรี และมีคลังน้ำมันปลายทางที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เป็นระยะทาง 350 กิโลเมตร ใช้ท่อน้ำมันขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 นิ้ว โดยใช้เงินลงทุนระบบท่อ 5,400 ล้านบาท คลังน้ำมัน 3,200 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายอื่น 1,300ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันบริษัทได้บรรลุข้อตกลงการเจรจาเบื้องต้นกับแทปไลน์แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากผู้ถือหุ้นของแทปไลน์

ขณะที่ท่อส่งน้ำมันเส้นเหนือของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (เอฟพีที) จะต่อขยายระบบการขนส่งน้ำมันทางท่อของบริษัทไปยังภาคเหนือจากระบบท่อเดิมของบริษัทที่อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีคลังน้ำมันปลายทางที่จ.พิจิตรและจ.ลำปาง ระยะทางรวม 585 กิโลเมตร ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการสำรวจพร้อมออกแบบระบบขนส่งน้ำมันทางท่อและคลังน้ำมันแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยบริษัทได้ทำประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 แล้ว และจะจัดทำประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนด้านการก่อสร้างระบบท่อน้ำมันและคลังน้ำมัน บริษัทฯได้ดำเนินการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างคลังน้ำมันที่จ.พิจิตร พื้นที่ 120 ไร่ และคลังน้ำมันที่จ.ลำปาง พื้นที่ 112 ไร่ ซึ่งคลังน้ำมันในจ.พิจิตร บริษัทได้กำหนดพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ โดยตามแผนเฟสแรกที่พิจิตรจะแล้วเสร็จในกลางปี 2561 และเฟส2 ที่ลำปางจะเสร็จในปี 25562

นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและร่วมทุน บริษัท เอสซี กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ทางแทปไลน์ ได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นไปแล้วในวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ดังนั้น คาดว่าทางแทปไลน์จะมีความชัดเจนให้กับทางบริษัทฯภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นจะเสนอไปยังกรมธุรกิจพลังงานต่อไป ซึ่งขณะนี้ได้ว่าจ้างออกแบบเบื้องต้นทางวิศวกรรมควบคู่กันไป ดังนั้นแม้ว่าการตัดสินใจจากทางแทปไลน์จะล่าช้ากว่าแผน1-2 เดือน ก็ยังไม่กระทบโครงการลงทุน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,179
วันที่ 31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559