กางแผนเที่ยวรายภูมิภาคปี60 ททท.แจงมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเอเชีย-แปซิฟิกใต้กว่า65%

01 ส.ค. 2559 | 07:00 น.
ททท.กางแผนท่องเที่ยวรายภูมิภาคปี 2560 แจงสัดส่วนรายได้กว่า65 % อยู่ที่เอเชียและแปซิฟิกใต้ มั่นใจปีหน้าจีนยังพุ่งสุด มุ่งเจาะกลุ่มเอฟไอที ดันอาเซียนทะลุ 10 ล้านคน รับหนักใจตลาดออสเตรเลีย เหตุผลค่าเงินทำเที่ยวไทยแพงขึ้น 30% ขณะที่ตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา ตั้งเป้าดันรายได้รวมโต 10% ชี้อเมริการุ่ง เล็งผนึก EVA รุกตลาด ด้านบอร์ดไฟเขียวแต่งตั้ง 3 รองผู้ว่าการ คนใหม่

[caption id="attachment_76562" align="aligncenter" width="700"] เป้าหมายการเติบโตของรายได้การท่องเที่ยวในปี 2560 แยกตามรายภูมิภาค เป้าหมายการเติบโตของรายได้การท่องเที่ยวในปี 2560 แยกตามรายภูมิภาค[/caption]

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า การผลักดันเป้าหมายการเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวของประเทศไทยในปี 2560 ร่วม 2.84 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นในส่วนของตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 1.89 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% นั้น จัดว่าเป็นตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกใต้ ราว 65% ส่วนอีก 35% เป็นรายได้จากตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา (กราฟิกประกอบ)

โดยทิศทางการทำตลาดในภูมิภาคเอเชียนั้น ททท.จะเน้นขยายฐานรายได้ให้เติบโตสูงกว่าการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ภายใต้จุดขาย "ควอลิตี้ เลเชอร์ เดสติเนชั่น" ดังนั้นแม้ตลาดเอเชียจะจัดว่าเป็นตลาด MASS ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาเป็นหมู่คณะ แต่ททท.ก็จะเน้นการเจาะเข้าไปสู่เซ็กเมนต์ต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างให้เกิดตลาดนิช มาร์เก็ต (กลุ่มความสนใจเฉพาะ) ซึ่งจะโฟกัสไปที่กลุ่มนักบริหารรุ่นใหม่ กลุ่มกอล์ฟ กลุ่มคู่รัก ซึ่งนักท่องเที่ยวจากเอเชีย อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ที่มีคนชอบตีกอล์ฟมาก แต่ในช่วงหน้าหนาวจะตีกอล์ฟไม่ได้ ก็ดึงให้มาตีกอล์ฟเมืองไทยที่ตีได้ตลอดทั้งปี

ส่วนกลุ่มตลาดคู่รัก ททท.จะเข้าไปเจาะมากขึ้น นอกเหนือจากกลุ่มแต่งงานและกลุ่มฮันนีมูน ไม่ว่าจะเป็นตลาดจากฮ่องกง อินเดีย เพราะจะได้ทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการแต่งงาน หรือฮันนีมูนที่ทำได้จำกัดครั้ง แต่เป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง อย่าง ตลาดอินเดีย ปีที่ผ่านมามีมาแต่งงานในไทยร่วม 400 คู่ เกิดการใช้จ่ายในการแต่งงานตั้งแต่ 10 -100 ล้านบาท โดยททท.จะเน้น โปรโมต 100 สถานที่บอกรัก สถานที่ที่โรแมนติกสำหรับคู่รัก เพื่อดึงตลาด ส่วนกลุ่มตลาดหลักๆ ที่ยังทำต่อเนื่อง คือ กลุ่มครอบครัว ตลาดมุสสิม เป็นต้น

สำหรับตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ยังคงเป็นตลาดจีน ที่มีแนวโน้มเดินทางเที่ยวต่างประเทศอยู่ แม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวแต่ไม่กระทบต่อการเดินทางเที่ยวนอกของคนจีน และมองว่าถ้าเกิดยุโรปมีปัญหา จีนต้องหันมาเที่ยวในเส้นทางระยะใกล้มากขึ้น ประเทศไทยจะยังคงเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนสนใจ จาก 3 ปัจจัย คือ 1. ปริมาณเที่ยวบินเข้าไทยที่มีจำนวนมาก 2.มีเที่ยวบินเข้าภูเก็ต รวมถึงมีชาร์เตอร์ไฟลต์มาลงอู่ตะเภาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเปิดให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำ และ 3.การเดินทางมาเที่ยวไทยเป็นราคาที่นักท่องเที่ยวจ่ายได้ ซึ่งททท.จะขยายฐานนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางเที่ยวด้วยตัวเองหรือเอฟไอที ผ่านโซเชียลมีเดียของจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยร่วม 10 ล้านคน และปีหน้าเชื่อว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับตลาดอาเซียนและกลุ่มนักท่องเที่ยวจากCLMV ซึ่ง ททท.จะส่งเสริมให้ปีหน้าไทยมีนักท่องเที่ยวจากอาเซียนราว 10 ล้านคนจากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 8 ล้านคน โดยการขยายตัวของตลาดดังกล่าวมาจากปัจจัยการผลักดันโครงการ CLMVT ลิงก์ เชื่อมโยงการเดินทางทางอากาศ และอานิสงส์จากเออีซี ที่จะผลักดันให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในอาเซียนเพิ่มขึ้น

นางศรีสุดา ยังกล่าวต่อว่า สำหรับตลาดที่ค่อนข้างน่าห่วงและททท.ต้องทำงานหนักมากในปีหน้า มีเพียงตลาดเดียว คือ ตลาดออสเตรเลีย ซึ่งยังคงมีปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจและค่าเงิน ที่ทำให้การเดินทางมาเที่ยวไทยแพงขึ้น 30% ซึ่งเมื่อ 3 ปีก่อน 1 ดอลลาร์ออสเตรเลีย จะเท่ากับ 24 บาทหรือ 26 บาท แต่ขณะนี้อยู่ที่ราว 32 บาท และจำนวนเที่ยวบินเข้าไทยมีน้อย และไม่มีบินตรงเข้าภูเก็ต ต่างจากบาหลี ที่มีเที่ยวบินตรงจากออสเตรเลีย มากถึง 300 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากเมืองดาวินใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครึ่ง มาไทยใช้เวลา 9 ชั่วโมงไม่รวมต่อเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปภูเก็ต ประกอบกับสายการบินต้นทุนต่ำที่เปิดบินในเส้นทางบาหลี-ออสเตรเลีย เช่นไทเกอร์ แอร์เวย์ส ทำสงครามราคา ทำให้การเดินทางไปเที่ยวบาหลีจึงถูกกว่าและสะดวกกว่า ดังนั้นการทำตลาดนี้ททท.มองการผลักดันเรื่องของจำนวนนักเดินทางได้ไม่มาก ต้องไปผลักดันเรื่องรายได้เป็นหลัก เพราะเป็นตลาดที่มีการเติบโตของรายได้อยู่ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะชะลอตัวลง

นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เผยว่า เป้าหมายการทำตลาดในกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่นั้นเฉลี่ยแล้วในปีหน้าต้องผลักดันการเติบโตของรายได้ให้เพิ่มขึ้น 10% และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 4.88% ซึ่งจะเห็นว่าททท.ให้ความสำคัญต่อการผลักดันการขยายตัวของรายได้จากการท่องเที่ยวในระดับสูง โดยจะเน้นเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตและกลุ่มลักซ์พีเรียน ขยายฐานตลาดกลุ่มรายได้ต่อคนตั้งแต่ 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปีขึ้นไป นำเสนอสินค้า luxury และ creative tourism เป็นจุดดึงดูดให้เกิดการใช้จ่าย การเจาะตลาดใหม่ในเชิงพื้นที่ที่มีศักยภาพในการจ่ายสูง เช่น กลุ่มประเทศ BRIC อาร์เจนตินา ยุโรปตะวันออก การขายเมดิคัล ทัวริซึม สำหรับตลาดตะวันออกกลาง เป็นต้น

ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวที่ในภูมิภาคดังกล่าว มองว่าตลาดจากสหรัฐอเมริกา จะมีการเติบโตสูงสุด คือ เพิ่มขึ้น 14.04% ททท.มีแผนจะให้ทางสำนักงานที่ไทเป หารือร่วมกับสายการบิน EVA ที่ทำตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ เพื่อหารือถึงการทำโปรโมชันร่วมกันในการดึงให้มาเที่ยวเมืองไทย เหมือนที่ ททท.ทำร่วมกับสายการบินในตะวันออกกลาง และมองการขยายตลาดฮันนีมูนในไทย และล่าสุดจากการเดินทางมาเยือนไทยเป็นประเทศแรกของ บรู๊ค ชิลด์ส ดาราดังจากฮอลลีวูด เพื่อถ่ายทำเทปฐมฤกษ์ของรายการ Well Traveled ซึ่งเป็นรายการสุขภาพเชิงท่องเที่ยว ที่จะออกอากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงทางฟรีทีวี ที่มีผู้ชมมากกว่า 100 ล้านคนต่อเดือนทั่วสหรัฐอเมริกา ก็ช่วยเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยและวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดนี้

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)เปิดเผยว่าในการประชุมบอร์ด ททท.เมื่อวันที่27 กรกฎาคม2559 บอร์ดได้เห็นชอบในการแต่งตั้ง 3 รองผู้ว่าการททท.คนใหม่ที่จะมาแทนผู้บริหารที่จะเกษียณอายุในปีนี้ โดย นายธเนศวร์ เพ็ชรสุวรรณ เป็นรองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและอเมริกา นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา เป็นรองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด และนายนภดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว โดยมีผลวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ส่วนตำแหน่งผู้บริหารในระดับซี 9 ที่จะเกษียณอายุ จะมีการนำเสนอบอร์ดเพื่อพิจารณาในเดือนหน้า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,179
วันที่ 31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559