รอบด้านตลาดหุ้น by  Bualuang Securities  

27 ก.ค. 2559 | 03:50 น.
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 0.52% ปิดที่ระดับ 1504.81 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน PTT&PTTEP ปรับตัวลงไปโดยเฉลี่ย 2.5% เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องของเศรษฐกิจในยุโรปและปริมาณสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญสถิติในอดีตซึ่งชี้ว่าราคาหุ้นปกติแล้วจะอ่อนตัวในช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค. เนื่องจากปริมาณสต๊อกน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและการเพิ่มกำลังการผลิตจำนวนมากยังเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ $44.6/บาร์เรล  ภายหลังจากการขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ $52.8/ บาร์เรล ขณะที่กลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศอาจทรงตัวหรือปรับลงน้อยกว่าทั้งนี้ในช่วง 4 สัปดาห์ตลาดปรับตัวขึ้นได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อสุทธิของ นักลงทุนต่างชาติทั้งนี้ นโยบายอัดฉีดสภาพคล่องที่ล้นระบบจากธนาคารกลางหลักทั่วโลกอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงด้วย PER ปี 2559 ที่ 16-16.5 เท่าได้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเต็มพิกัดหรือยัง? ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่เราพูดถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน หุ้นในตลาดส่วนมากมีการซื้อขายใกล้เคียงระดับมูลค่าสูงสุดในอดีตแล้ว แต่นโยบายสภาพคล่องที่ล้นระบบในกลุ่มธนาคารกลางหลักของโลกยังคงหนุนให้ตลาดสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของหลายประเทศลดลงทำสถิติต่ำสุดโดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ

ในสัปดาห์นี้ เราคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยไปยังแนวรับที่ 1490 จุด และจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปยัง 1,530 เรายังคงแนะนำกลยุทธ์ หุ้น Laggard play หุ้นที่ยังปรับตัวขึ้นไม่มากนักและเริ่มมีสัญญาณกลับตัวเปลี่ยนรอบเป็นขึ้น

รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้

(*) รายงานกลยุทธ์ มุมมอง BLS ต่อการทำประชามติ แม้ว่า Poll จากหลายสำนักผลจะออกมาอิงไปทาง โหวต “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง แต่สัดส่วนของผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจมีสูงถึง 40-50% อย่างไรก็ตาม ทาง BLS มองว่า โอกาสที่จะผลออกมา “รับ” ทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงสูงที่สุดอยู่ที่ 55% ในขณที่ความเป็นไปได้ที่ต่ำที่สุดที่เราประเมินคือ ไม่รับ ทั้งร่างและคำถามพ่วง ซึ่งประเมินไว้ที่ 10% เรามองว่าในเคสที่ผลออกมา “รับ” ตลาดน่าจะตอบรับในเชิงบวก แต่ Upside ไม่ได้เยอะเนื่องจากรับรู้ไปบางส่วนแล้ว อีกทั้ง Fund Flow จากต่างชาติได้มองข้ามชอร์ตไปถึง การเลือกตั้งในไตรมาส 3 ปีหน้า แล้ว และสำหรับในเคส “ไม่รับ” ทั้งร่างและคำถามพ่วง Downside ตลาดก็มีไม่เยอะ เนื่องจากถ้าผลออกมา ไม่รับ แต่การเลือกตั้งก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ความเสี่ยงคือ ถ้าผลออกมาว่า ไม่รับ คำถามพ่วง นั่นแฝงเป็นนัยว่า ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาลชุดนี้ และอาจส่งผลถึงอิทธิพลที่จะมีต่อในรัฐบาลชุดต่อไป ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนและโครงการรัฐต่างๆ อาจจะเกิดการดีเลย์

(+) KKP ประเด็นจากการประชุมกับผู้บริหารฯ 1) ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 0-5% โดยเน้นไปที่ high-yield เช่นสินเชื่อบุคคล, รถใช้แล้ว, และ SME ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ NIM เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% (ปีที่แล้ว 4.3%) 2) รายได้จากตลาดทุนฯ เติบโตต่อเนื่องจาก ดีล IB และการบริหารสินทรัพย์ เราคาดรายได้ในส่วนนี้ที่ 500 ล้านบาท ในปีนี้ (ยังไม่รวม Thailand Future Fund) 3) NPL ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 2Q16 ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่ออสังหาฯที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดังนั้นคาดในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่การตั้งสำรองฯจะน้อยกว่าคาด เราคงประมาณการกำไรปี 2016 ที่ 4.6 พันล้านบาท เติบโต 39%YoY และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 60 บาท

(-) RS เราประเมินผลประกอบการหลักใน 2Q16 จะพลิกกลับมาขาดทุน 60 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุน YoY และ QoQ จากค่าใช้จ่ายทางการตลาดอันเนื่องมาจากการเปิดตัวธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามอย่างเต็มตัว เราปรับประมาณการทั้งปีลง 30% เพื่อสะท้อนตัวเลขค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าราคาหุ้นตรงนี้ถือว่าได้สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว และเรายังมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังและปีหน้าบริษัทจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากธุรกิจทีวีดิจิตอลที่เติบโตและผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่รับรู้รายได้จาก Modern Trade อย่างเต็มตัว เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 12.80 บาท

(+) กลุ่มท่องเที่ยว เราแนะนำให้นักลงทุนทะยอยสะสมหุ้นกลุ่มนี้ถ้าราคาอ่อนตัวลงจากผลประกอบการใน 2Q16 (เพราะเป็น low season) เพื่อรอรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งในครึ่งปีหลังที่จะเข้ามา เราปรับคำแนะนำ CENTEL จาก ถือ เป็น ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 45 บาท เพราะคาดราคายังคง Laggard โดยเทรดที่ PE 28.2 เท่าใกล้เคียงกับตอนเหตุการณ์ระเบิด เรายังแนะนำ ซื้อ MINT (ราคาเป้าหมาย 42 บาท) จากกำไรในครึ่งปีหลังที่จะโตได้ถึง 36% YoY และ 59% HoH และเติบโตต่อเนื่อง 15% ในปีหน้า และ ซื้อ ERW ราคาเป้าหมาย 5.2 บาท ซึ่งยังคงเทรดต่ำกว่า มูลค่าทดแทนที่ 7.5 บาท อีกทั้งยังมีสตอรี่ระยะสั้นจากผลประกอบการกำไรที่จะออกมาใน 2Q16 และ 3Q16 แม้ว่าจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น

(+)  GFPT   คาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นรับกำไร 2Q16 ซึ่งคาดที่ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% YoY และ 27% QoQ ปัจจัยหลักมาจาก การเติบโตจากส่วนแบ่งรายได้ของ GFN และ McKEY, อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น และภาระดอกเบี้ยที่ลดลง โดยยอดขายส่งออกยังคงเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ สวนทางกับยอดขายในประเทศที่ยังคงทรงตัว อย่างไรก็ตามเราเริ่มเห็นราคาไก่ในจังหวัดชลบุรีเริ่มมีการปรับตัวขึ้น YoY มาอยู่ที่ 39 บาท/กิโลกรัม ในเดือน ก.ค. รวมทั้งราคาลูกเจี๊ยบซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 12.5 บาท/ตัว ซึ่งน่าจะเป็สัญญาณบวกสำหรับธุรกิจเนื้อไก่ ส่วนประเด็นความกังวลเกี่ยวกับการเก็บอากร เชือดและจำหน่ายสัตว์ ฉบับใหม่ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา เรามองว่ามีโอกาศเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากจะทำให้ลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดการส่งออกเนื้อสัตว์ โดยเรายังคงเเนะนำ "ซื้อ" จากการที่เป็นหุ้นราคาถูกที่สุดในกลุ่มอาหารด้วย PE ปี 2016 เพียง 11 เท่า ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท

ที่มา:บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง