ประชุมเฟด 26-27 ก.ค. 2559 ... คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยต่อ หลังเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงสูง

25 ก.ค. 2559 | 05:55 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ออกบทวิเคราะห์เรื่อง ประชุมเฟด 26-27 ก.ค. 2559 ... คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยต่อ หลังเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.25-0.50% ตามเดิม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) รอบที่ห้าของปี 2559 วันที่ 26-27 ก.ค. 2559 เพื่อรอประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก หลังอังกฤษลงมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT)

สำหรับผลต่อไทยนั้น มองว่า การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อาจทำให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศไทยในระยะสั้น พร้อมๆ กับเปิดช่องว่างให้ทางการไทยสามารถที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้หากจำเป็น อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อเส้นทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น อาจทำให้กระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนเต็มไปด้วยความผันผวนในระยะข้างหน้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 0.25-0.50% เพราะ BREXIT เพิ่มความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

แม้ ขณะนี้ ความกังวลต่อการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (BREXIT) จะเริ่มผ่อนคลายไประดับหนึ่ง หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่อง และส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ ยังคงถูกจับตาอย่างใกล้ชิด สอดคล้องกับท่าทีล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เพิ่งปรับลดประมาณอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลง 0.1% ในปี 2559 และปี 2660 มาที่ 3.1% และ 3.4% ในปี 2559 และปี 2560 ตามลำดับ ซึ่งตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ UK และ EU จะสามารถหาข้อสรุปร่วมกัน และสามารถดูแลไม่ให้เกิดภาวะปั่นป่วนวุ่นวายครั้งใหญ่ในตลาดการเงินได้ อย่างไรก็ดี IMF ยอมรับว่า เศรษฐกิจโลกจะมีความเสี่ยงในช่วงขาลงมากขึ้น หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนดังกล่าว คงจะเป็นเหตุผลที่สนับสนุนให้เฟดสามารถคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบันได้อีกประมาณ 2-3 เดือนข้างหน้า เพื่อให้มีข้อมูลมากขึ้นเพื่อใช้ในการประเมินจังหวะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ

มองไปข้างหน้า ยังมีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงท้ายปีนี้ หากพัฒนาการเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน รวมทั้ง เครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้นั้น ก็เป็นตัวสะท้อนว่า ยังคงพอมีเหตุผลให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อย่างน้อย  1 ครั้งภายในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะหากช่วงใกล้ๆ การประชุม FOMC รอบเดือนธันวาคมนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกจากประเด็น BREXIT ยังคงไม่เพิ่มระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในขณะนี้ ตลาดอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าปรับตัวสะท้อนโอกาสเกือบ 50% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. นี้ ขณะที่ ปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการเลือกช่วงเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อันจะเห็นได้จากการที่เฟดเคยปรับขึ้น (หรือปรับลด) อัตราดอกเบี้ยนโยบายตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่สหรัฐฯ มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีก็ตาม

สำหรับผลต่อไทย...การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด สนับสนุนเงินทุนไหลเข้าในช่วงสั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า การที่เฟดเลื่อนระยะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป น่าจะช่วยให้สภาวะการเงินทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย อันเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าไปยังประเทศตลาดเกิดใหม่ (รวมถึงไทย) ที่น่าจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีปัจจัยผลักดันให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า ความผันผวนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย อาจเพิ่มสูงขึ้นในระยะข้างหน้า ท่ามกลางความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีอยู่ในระดับสูง ซึ่งสภาวะดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ต้องมีการเตรียมรับมือในอนาคต

นอกจากนี้ ผลในอีกด้านหนึ่งจากการที่เฟดยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย และต้นทุนการระดมทุนของภาคธุรกิจ น่าจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำ และเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางหลายๆ แห่ง รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถที่จะพิจารณาผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมได้ หากเศรษฐกิจในประเทศมีพัฒนาการไปในทิศทางที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น