แบงก์แนะลูกค้าเศรษฐีปรับพอร์ตลงทุน ชูกองทุนผสมลดเสี่ยง/เพิ่มอาร์เอ็มดูแล

22 ก.ค. 2559 | 04:00 น.
แบงก์พร้อมปรับพอร์ตการลงทุนกลุ่มลูกค้าเศรษฐี รับมือตลาดโลกผันผวนผล Brexit เตือนเพิ่มความระมัดระวังด้าน “สแตนชาร์ต” ชูจุดแข็งความเชี่ยวชาญระดับภูมิภาค จัดพอร์ตตามเสี่ยงลูกค้ารับได้ ฟุ้งสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด 1-3% ส่วน “ไทยพาณิชย์”แนะลงกองทุนผสม ตั้งเป้าทั้งสร้างยีลด์4-6% เร่งพัฒนาอาร์เอ็มดูแลลูกค้า คาดรับเพิ่มอีก 100 คน

นายซาชิน บัมบานี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าฝ่ายบริหารการเงินการลงทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของลูกค้าบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ธนาคารประเมินว่ายังคงต้องให้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดทุน และให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาดพันธบัตร หุ้นกู้ และกองทุนรวมผสมหลายประเภท เช่นตราสารหนี้ ตราสารทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน แม้ว่าช่วงนี้ผลตอบแทน(Yield) ในพันธบัตรจะค่อนข้างตํ่าหรือติดลบ แต่จะมีบางกองที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี เช่น พันธบัตรในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ตลาดทุนในอินเดียที่ยังคงขยายตัวดี และให้นํ้าหนักลงทุนในตลาดทุนไทยน้อยลง

สำหรับแผนกลยุทธ์ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในปีนี้ ธนาคารตั้งเป้าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ที่ลูกค้าสามารถเชื่อใจได้ โดยนำจุดแข็งเรื่องของประสบการณ์ในตลาดภูมิภาค ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางด้านการลงทุนที่เปิดกว้างโดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) 10 แห่ง มากกว่า 170 กองทุน ที่ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ตามความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้ ตลอดจนความเชี่ยวชาญของลูกค้าสัมพันธ์ (RM)คอยแนะนำและเพิ่มมูลค่าด้วยการนำเสนอข้อมูลบทวิเคราะห์ต่างๆ ให้ลูกค้าโดยการจัดพอร์ตลงทุนจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ลูกค้าสามารถรับได้ เช่น ลูกค้ารับความเสี่ยงได้ไม่เกิน 5% ธนาคารจะทำตัวเลือกให้ลูกค้าได้เลือกลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารสามารถสร้างผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงกว่าค่ากลางของตลาดประมาณ 1-3%

ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารสามารถเติบโตจากฐานลูกค้าไม่ใหญ่มาก แต่มีอัตราการเติบโตของธุรกิจตัวเลข 2 หลักทุกปี ทั้งในแง่ฐานลูกค้าและสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ที่ปัจจุบันมีประมาณ2 หมื่นล้านบาท และลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 ผลิตภัณฑ์ต่อราย ซึ่งในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าเติบโตตัวเลข 2 หลัก และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจรายย่อยเป็น 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 8-10%โดยส่วนใหญ่จะมาจากการขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันซ์) กองทุนและธุรกิจเงินตราต่างประเทศ (FX)

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการต่อยอดการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านการลงทุนให้ลูกค้า ธนาคารได้ร่วมมือกับบมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “พรูพรีเมียร์ ลิงค์” หรือ PRUpremier link ที่ให้ความยืดหยุ่นในการลงทุน ลูกค้าสามารถออกแบบการลงทุนได้เอง พร้อมปรับเปลี่ยนกองทุนได้ฟรีถึง 12 ครั้งต่อปี ซึ่งมีมากกว่า 14กองทุนที่ให้ลูกค้าได้เลือกลงทุน นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนความคุ้มครองชวี ติ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการปรับเปลี่ยน และยังได้รับโบนัสพิเศษ 10%ของเบี้ยประกันภัยหลักรายปี ณ ปีที่ชำระเบี้ยประกันภัยปีที่ 5 ซึ่งลูกค้าสามารถชำระเบี้ยประกันเป็นรายงวด ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าภายใน 1 ปี ผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นโปรดักต์ที่สร้างรายได้ 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์ประกันทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 12-15 โปรดักต์โดยปัจจุบันมีเบี้ยรับรวมมากกว่า 1,000ล้านบาท ซึ่งประมาณ 50% จะเป็นเบี้ยใหม่ หรือประมาณ 500 ล้านบาท

“เราต้องการเป็นแบงก์ที่ลูกค้าเชื่อใจในการลงทุน โดยเรามีความเชี่ยวชาญในโกลบัล นำมาแนะนำลูกค้าทุกปีทำให้เราสามารถเติบโตได้ 2 หลักในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดอย่างน้อย 1-3%”

ทางด้านนางสาวลลิตภัทร ธรณวิกรัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายลูกค้าธนบดีธนกิจ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ตลาดการเงินหลังเหตุการณ์ Brexit ทำให้การลงทุนมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จึงเกิดความผันผวน ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยตํ่าทั่วโลก ส่งผลให้การลงทุนได้ผลตอบแทนไม่ดีเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารจะมีทีมงานที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และทีมลูกค้าสัมพันธ์ (RM) จัดส่งข้อมูลและให้คำแนะนำการลงทุนให้กับลูกค้า โดยภาพเบื้องต้นอาจจะต้องเพิ่มนํ้าหนักความเสี่ยงให้ระวังตลาดสหราชอาณาจักรและอียูไว้ก่อน โดยกลับมาเพิ่มนํ้าหนักลงทุนในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ยังดีอยู่ รวมถึงตลาดเอเชียและไทย

ทั้งนี้ แผนการลงทุนภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารจะแนะนำลูกค้าจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนผสม และลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ลง โดยกองทุนผสม เช่น กองทุนพร็อพเพอร์ตี้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทน(Yield) เฉลี่ย 6% และกองทุนไฮบริดบอนด์ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4%โดยลงทุนในหุ้นประมาณ 40-60% ของพอร์ตลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความผันผวนและผลตอบแทนค่อนข้างน้อยเฉลี่ย 8-9% ซึ่งปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 4- 6%

“ไฟแนนเชียลมาร์เก็ตหลังเกิดเหตุการณ์ Brexit จะเห็นว่าตลาดผันผวนมาก เราก็ให้ทีมงานอาร์เอ็มให้คำปรึกษาลูกค้า โดยมีข้อมูลวิจัยสมมติฐานต่างๆส่งให้ลูกค้า และออกแบบการลงทุนให้คุมความเสี่ยงลูกค้า โดยให้ระวังตลาดอังกฤษและยุโรปไว้ สหรัฐฯ ยังมีโอกาสอยู่ ส่วนตลาดไทยยังเป็นตลาดที่ดี หากบริหารตาม Asset Allocation จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 4-6% แต่ทั้งนี้เรามองว่าBrexit เป็นโอกาสมากกว่า”

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในปีนี้ ธนาคารจะให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิมในเรื่องของการลงทุนเพื่อแสวงหาผลตอบแทนในช่วงดอกเบี้ยตํ่า โดยฐานลูกค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่ม SCB First ที่มีสินทรัพย์และเงินฝากรวมอยู่ที่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีฐานลูกค้าอยู่ 3 หมื่นราย และกลุ่ม PrivateBank ที่มีสินทรัพย์และเงินฝากอยู่ที่ 50ล้านบาทขึ้นไป มีฐานลูกค้าประมาณ7,000 ครอบครัว โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ประมาณ 8 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตั้งเป้า AUM เติบโต 10-15% และคาดว่าภายใน2-3 ปี สินทรัพย์จะแตะได้ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ธนาคารยังให้ความสำคัญเรื่องบุคลากรหรือทีมเจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้า (RM) เพราะถ้าทีมงานมีคุณภาพจะส่งผลสะท้อนไปยังพอร์ตสินทรัพย์ของลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าลูกค้าเอสซีบีเฟิร์สขยับเป็นลูกค้าไพรเวตแบงก์เฉลี่ย 10% ดังนั้นหากมีทีมงานที่บริหารพอร์ตลูกค้าได้ดีสัดส่วนจะทยอยเพิ่มขึ้นโดยปีนี้ธนาคารตั้งเป้ารับพนักงานอาร์เอ็มเพิ่มอีกเท่าตัว หรือประมาณ 100 คนจากปัจจุบันมีอยู่ราว 100 คน ซึ่งปัจจุบันอาร์เอ็ม 1 คนจะดูแลลูกค้าไพรเวตแบงก์60-80 ราย ส่วนลูกค้าเฟิร์สจะอยู่ที่ 150-200 ราย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,175 วันที่ 17 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559