ไทย-ตุรกี เดินหน้าประกาศเจรจา FTA ตั้งเป้าจบกลางปีหน้า

15 ก.ค. 2559 | 10:00 น.
ไทยและตุรกีจะประกาศการเปิดเจรจา FTA ระหว่างกันในวันที่ 19 กรกฎาคม 2559 ณ กรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี โดยทั้งสองประเทศจะเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีรอบแรก ในระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคมนี้

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีกำหนดเยือนกรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี เพื่อประกาศเปิดเจรจา FTA ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของตุรกี (นาย Nihat Zeybekçi) ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2559 ทั้งนี้ การเจรจา FTA มาจากเจตนารมณ์ของทั้งสองประเทศในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี ภายใต้แผนปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลตุรกี ฉบับที่ 1 (ปี 2556 - 2561)  ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายได้ลงนาม เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 ในระหว่างการเดินทางเยือนตุรกีของนายกรัฐมนตรี แผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าวนับเป็นพัฒนาการที่สำคัญ เนื่องจากได้ระบุ ให้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดทำ FTA  ไทย - ตุรกี

ตุรกีเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 19 ของโลก อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศ G20 ที่มีประชากรประมาณ 80 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวปีละกว่า 30 ล้านคน ตุรกีมีที่ตั้งที่ได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์ สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเอเชียกับยุโรป และเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้า    ทั้งด้านเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก เป็นประเทศมุสลิมแบบเปิดจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน นอกจากนี้ ยังเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญจากทะเลแคสเปียนและภูมิภาคเอเชีย ไทยจึงสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการค้าไปสู่ประเทศต่างๆได้ อาทิ ยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือ ในขณะเดียวกัน ตุรกีสามารถใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนและ CLMV ได้ นอกจากนั้น ตุรกีมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน และให้การคุ้มครองนักลงทุน จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้าไปลงทุนในตุรกีและโอกาสในการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และประมง รวมทั้งการผลิตอาหารฮาลาล เป็นต้น

สำหรับการเจรจาจัดทำ FTA ไทย-ตุรกี รอบที่ 1 ที่ประเทศตุรกีเป็นเจ้าภาพ ในระหว่างวันที่ 19-20 กรกฎาคม 2559 นั้น จะมีรองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ) เป็นประธานร่วมกับอธิบดีกรมสหภาพยุโรป กระทรวงเศรษฐกิจตุรกี (Mr. Murat Yapici) โดยการเจรจารอบที่ 1 ทั้งสองฝ่าย  มีเป้าหมายเพื่อหารือโครงสร้างของข้อบทความตกลงการค้าสินค้า การแบ่งกลุ่มการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน แผนการเจรจาและความคาดหวัง รวมถึงเป้าหมายการเจรจาในแต่ละรอบเพื่อให้การดำเนินการเจรจาสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในกลางปี 2560

ที่ผ่านมา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ  การคลัง (มูลนิธิ สวค.) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ โดยผลการศึกษาพบว่า GDP ของไทยจะเพิ่มขึ้น 0.03-0.04% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 74-99 ล้านเหรียญสหรัฐ และการส่งออกของไทยไปโลกจะเพิ่มขึ้น 0.03-0.05% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50-90  ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ รายการสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ยานพาหนะ ตู้เย็น พลาสติกชนิดโพลิสไตรีน ผ้าทอ เมล็ดพืช อาหารฮาลาล เคมีภัณฑ์อินทรีย์ พลาสติกและผลิตภัณฑ์ ยางและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น

ในปี 2558 ตุรกีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 38 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 5 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง  โดยการค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 1,212.17 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.29 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 745.58 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 979 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้ามูลค่า 233 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 445.67 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.09 และมูลค่าการค้าสองฝ่ายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.34 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด  ของไทย และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 281.96 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 363.81 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 1.81 และนำเข้ามูลค่า 81.85 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ร้อยละ 15.61

สินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกและนำเข้า

สินค้าส่งออกของไทย รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ยางพารา ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ เส้นใยประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น

สินค้านำเข้าจากตุรกี เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ด้ายและเส้นใย เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ้าผืน สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะ   และผลิตภัณฑ์ เครื่องประดับอัญมณี เป็นต้น