เครื่องไฟฟ้าลุ้นครึ่งหลังโต แบรนด์ยักษ์เทหน้าตักลงทุน/เพิ่มไลน์สินค้าใหม่

18 ก.ค. 2559 | 02:00 น.
ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามั่นใจศักยภาพตลาด ยํ้าจุดยืนชูไทยฐานผลิตสำคัญต่อเนื่อง “ไฮเออร์” เปิดเกมรุกสร้างแบรนด์สร้างความเชื่อมั่น ขณะที่ “แอลจี” ยอมรับปัจจัยลบส่งผลตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่โตแต่ยังเดินหน้าลงทุน หลังภาพรวมส่งสัญญาณบวกครึ่งปีหลัง ด้าน “โตชิบา” คุมเข้มบริหารจัดการภายใน จ่อนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ลดความเสี่ยง

นายหยาง เสี้ยวหลิน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไฮเออร์ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า "ไฮเออร์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะชะลอตัว โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ชะลอตัวต่อเนื่อง แต่บริษัทยังเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดเมืองไทยและพร้อมจะใช้ไทยเป็นอีกหนึ่งฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อการแข่งขัน โดยจะให้ความสำคัญในการพัฒนาและดำเนินธุรกิจควบคู่กับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตที่บริษัทมีแผนลงทุนขยายสายการผลิตเครื่องปรับอากาศ และปรับปรุงสายการผลิตตู้เย็นเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ยังสร้างศูนย์อบรมด้านเทคนิคสำหรับเครื่องปรับอากาศระดับภูมิภาค เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอาเซียน

ทั้งนี้บริษัทยังลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ซีรีย์ใหม่ ๆ เช่น ตู้เย็น GTM Generation 2, เครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์,เครื่องซักผ้าฝากระจก เป็นต้น เพื่อบุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีศักยภาพทางการเติบโตอยู่จากปัจจัยบวกต่างๆที่เข้ามา อาทิ สภาพอากาศที่ร้อนจัดที่จะส่งผลให้เกิดความต้องการเครื่องปรับอากาศมากขึ้น ฯลฯ ขณะที่ปัจจัยที่น่ากังวลในช่วงครึ่งปีหลังแม้ว่าภาครัฐจะมีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ค่อนข้างมาก รวมถึงเรื่องกำลังซื้อของผู้บริโภค และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกทำให้ต้องมีความระมัดระวังในการทำตลาดมากขึ้น

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทเน้นสร้างแบรนด์ให้มีศักยภาพและสร้างความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในแง่ของการบริการ ด้วยการเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค ผ่านช่องทางการสื่อสารยุคใหม่อย่าง เฟซบุ๊ค ที่มีเนื้อหาตรงใจและให้ลูกค้าได้เห็นเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์ ควบคู่กับการให้ลูกค้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้า บริการ และแบ่งปันประสบการณ์ในการใช้สินค้าต่าง ๆ ร่วมกัน นับเป็นการทำให้แบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ภายใต้งบประมาณทางการตลาดทั้งสิ้น 4-5% ของยอดขายทั้งหมด

"นอกจากการโฆษณาและการสื่อสารที่เน้นขับเคลื่อนไปช่องทางออนไลน์แล้ว ยังมีกิจกรรมออฟไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานแสดงสินค้า การสร้างการจดจำแบรนด์ผ่านเครื่องมือสื่อสารต่างๆ และความร่วมมือจากองค์กรภาครัฐและเอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมไทยด้วยดีเสมอมา"

พร้อมกันนี้ยังเตรียมขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศใหม่ๆในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย หลังจากเข้าไปทำตลาดในสปป. ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ เนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางการเติบโตสูง

ด้านนาย อลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการ บริษัท แอลจี เลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า "แอลจี" กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชอละตัวส่งผลกระทบหนักทำให้อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดช่วง3 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเติบโต โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังของปี 2557 จะพบว่าภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าติดลบอย่างเห็นได้ชัด สำหรับแนวโน้มตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ประเมินว่าตลาดในระดับกลาง-บนจะมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีแนวโน้มเติบโตดีที่สุด เนื่องจากกำลังซื้อในระดับนี้จะยังมีอยู่แม้สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดระดับกลาง-ล่าง แม้ภาพรวมตลาดจะเริ่มดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาแต่ก็ยังถือว่าชะลอตัวอยู่

"จากสภาวะดังกล่าวแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อการภาพรวมการเติบโตของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์ แต่บริษัทจะไม่มีการย้ายฐานการผลิต ที่ปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของกลุ่มสินค้าเครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงจะไม่มีการปลดพนักงานซึ่งโดยรวมยังคงเชื่อมั่นในกำลังซื้อของผู้บริโภคคนไทย แต่การที่จะก้าวผ่านสภาวะตลาดชะลอตัวได้แต่ละแบรนด์ย่อมที่จะมีวิธีการบริหารจัดการและกลยุทธ์ทางการตลาดมาใช้ในรูปแบบต่างกันออกไป ซึ่งในส่วนของบริษัทเองก็มีการจัดกิจกรรมทางการตลาดและนำกลยุทธ์รูปแบบต่างๆมาใช้มากขึ้น แต่ในส่วนของการบริหารจัดการภายในโรงงานยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของต้นทุน และไลน์การผลิต เพราะเชื่อว่าภาพรวมตลาดจะเริ่มดีขึ้นอย่างแน่นอนจากปัจจัยบวกด้านต่างๆที่เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้น"

ในส่วนของบริษัทเองก็มีนโยบายในการให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆของแต่ละกลุ่มสินค้าตามฤดูกาล ทั้งกลุ่มเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อน เครื่องซักผ้าในหน้าฝน เป็นต้น ควบคู่กับการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ช่องทางการจำหน่ายต่างๆในการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาติดลบที่ 3-5% อันเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 4-5% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ติดลบ ซึ่งปัจจัยที่จะผลักดันให้ตลาดเติบโตเป็นผลพวงมาจากโครงการลงทันของภาครัฐที่จะเริ่มมีเม็ดเงินเข้าระบบและสามารถเริ่มโครงการได้ในไตรมาส 3 ,ภาคการเกษตรที่เริ่มพ้นวิกฤตปัญหาภัยแล้ง ที่เริ่มมีราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นในไตรมาส 2 และภาพรวมการส่งของที่ถึงแม้จะไม่ได้ดีขึ้นแต่ก็เชื่อว่าจะไม่แย่ไปกว่าช่วงที่ผ่านมา และจากปัจจัยบวกดังกล่าวคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดทั้งปีมีการเติบโตเป็นศูนย์

สำหรับภาพรวมการเติบโตของแอลจีในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10% ซึ่งจะส่งผลให้ตลอดทั้งปีบริษัทมีการเติบโตอยู่ที่7% จากเป้าเดิมที่วางไว้ 10% ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจ

ขณะที่นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า "โตชิบา" กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและกำลังซื้อแต่อย่างใด เนื่องจากกลุ่มสินค้าที่บริษัทใช้ไทยเป็นฐานการผลิตไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องซักผ้า เครื่องครัว ตู้เย็น ซึ่งถือว่ายังมีการเติบโตดีในตลาด ประกอบกับบริษัทมีความมั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆที่ภาครัฐพยายามผลักดันออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมกำลังซื้อในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า

"เราไม่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องมาจากไลน์สินค้าที่เราผลิตส่วนใหญ่ในประเทศไทยทั้ง ตู้เย็น เครื่องครัว เครื่องซักผ้า ยังมีการเติบที่ดีอยู่ ขณะที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประสบปัญหาหนักจากสภาวะเศรษฐกิจคือกลุ่มทีวี ดังนั้นเราจึงไม่มีแผนงานในการปลดพนักงานหรือย้ายฐานการผลิตแต่อย่างใด"

ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนงานระยะยาวในการลงทุนในส่วนของการขยายไลน์การผลิตเพื่อรองรับการส่งออกและการเติบโตในอนาคต โดยจะมีการนำเทคโนโลยีการผลติตที่ทันสมัยและอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาร่วมด้วยเพื่อเป็นการบริหารจัดการและลดความเสี่ยง ซึ่งจะไม่ใช่การปลดแรงงานแต่อย่างใดแต่จะเป็นรูปแบบของการนำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนในส่วนของแรงงานที่ยังขาดแคลน นอกจากนี้ยังจะมีการพัฒนาเรื่องของนวัตกรรมของสินค้าเพื่อให้หลากหลายตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งเป็นการปรับตัวและรับมือของบริษัท

"เรามีการบริหารจัดการในเรื่องของ สินค้า การผลิต รวมไปถึงในเรื่องของต้นทุนที่ดีในทุกโรงงงานการผลิตของโตชิบา ดังนั้นแนวคิดการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดการบริหารจัดการภายในเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยลบในตลาด" นางกนิษฐ กล่าวและว่า

ภาพรวมการเติบโตของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเติบโตที่ราว 10% ซึ่งถือว่ามากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงต้นปีที่ภาพรวมตลาดประสบกับปัจจัยลบเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งปัญหาภัยแล้ง กำลังซื้อในตลาดที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตตลอดทั้งปีคาดการณ์ว่าน่าจะเติบโตกว่าปีผ่านมาที่ 10-15%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,175 วันที่ 17 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559