ปลดซับคอนแทร็กต์ ไม่น่าห่วง! หวังสิ้นปีฟื้นตัวจากรถคันแรก

11 ก.ค. 2559 | 02:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

สถาบันยานยนต์ชี้ โตโยต้าเลิกจ้างซับคอนแทร็กต์เป็นเรื่องปกติ ปลายปีตลาดฟื้นตัวจากอานิสงส์รถคันแรกครบ 5 ปีแน่ ส่วนอาปิโกยันยังรับคนงานเพิ่มบางธุรกิจ ด้านบีเอ็มฯลงทุนเพิ่ม 488 ล้านขยายกำลังการผลิต พร้อมตั้งศูนย์จัดซื้อชิ้นส่วนในไทยป้อนโรงงานทั่วโลก

นายวิชัย จิราธิยุต ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ตามภาวะปกติบริษัทรถยนต์จะมีการจ้างพนักงาน โดยแบ่งออกเป็นพนักงานจริง 80 % และอีก 20 % เป็นพนักงานรับเหมาช่วง(ซับคอนแทร็กต์ ) ซึ่งในภาวะที่เศรษฐกิจหรือภาพรวมอุตสาหกรรมไม่ดี ก็จะลดโอที ปรับลดการผลิตลง และหากภาพรวมตลาดยังไม่ดีขึ้นก็จะพิจารณาเรื่องการต่อสัญญาของพนักงานกลุ่มซับคอนแทร็กต์ก่อน

อย่างไรก็ตามประเมินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะเป็นผลกระทบระยะสั้น แต่ในระยะยาวคาดว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมจะฟื้นคืนกลับมา โดยมีปัจจัยมาจากการที่ภาครัฐฯพยายามผลักดันให้เกิดการลงทุนมากขึ้น รวมไปถึงนโยบายสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ การสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาล ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย นอกจากนั้นแล้วการสิ้นสุดเงื่อนไข การถือครองรถยนต์คันแรก5 ปีภายในช่วงปลายปีนี้ ก็จะเป็นสัญญาณหนึ่งที่จะช่วยให้กลุ่มยานยนต์มีการฟื้นตัว

“เรามองว่าหากสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อไร อุตสาหกรรมยานยนต์ก็จะกลับมา ส่วนเรื่องการเลิกจ้างต่างๆนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภาวะต่างๆไม่ดีนัก ทำให้ไม่มีการต่อสัญญา แต่เมื่อไรก็ตามที่เศรษฐกิจฟื้นคาดว่าแรงงานต่างๆก็จะกลับเข้าสู่ระบบ”

ด้านนายเย็บ ซู ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ ที่แต่ละบริษัทจะต้องเผชิญ โดยในภาพรวมยังประเมินว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีตัวเลขการขายที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเติบโต 4-5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการเพิ่มพนักงานในบางหน่วยธุรกิจเพื่อรองรับกับการเติบโต ซึ่งบริษัทฯตั้งเป้าหมายว่าในปี 2559 นี้รายได้จะไม่ลดลงจากปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

“เราต้องมองว่าบางบริษัทฯขายดี แต่บางบริษัทฯก็ขายไม่ดี ยกตัวอย่าง โตโยต้าขายไม่ดี ก็ต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหา หรืออย่างฟอร์ด มาสด้า ขายดี ก็เพิ่มกำลังการผลิต โดยเรามองว่าในวิกฤติต่างๆก็ย่อมมีโอกาส และเรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมีขึ้นก็มีลง ยกตัวอย่างตอนน้ำท่วม ตลาดลดลง แต่หลังจากนั้นตลาดก็กลับมาเติบโต ”

ด้านนายแมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เกิดขึ้น มีการชะลอตัว อย่างไรก็ดีในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยูยังคงเดินหน้าตามแผนงานที่ได้วางไว้ โดยมีการลงทุนเพื่อรองรับกระบวนการประกอบภายในโรงงาน และ เพิ่งจะเปิดคลังอะไหล่ รวมไปถึงเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับกับการตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯประเมินว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก

“เราเพิ่งจะลงทุน 488 ล้านบาท เพิ่มเติมจากยอดเงินลงทุนที่ผ่านมาทั้งสิ้นกว่า 3,700 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกระบวนการประกอบภายในโรงงาน และเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังจัดตั้งสำนักงานจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ขึ้นในประเทศไทยด้วย เพื่อจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์จากซัพพลายเออร์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับเครือข่ายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู 31 แห่ง ใน 14 ประเทศทั่วโลก”

อนึ่ง เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ว่า จากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก ทำให้ บริษัท ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง และมีพนักงานเกินความจำเป็นในการผลิต รวมทั้งต้องปรับลดจำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา ทำให้รายได้รวมต่อเดือนของพนักงานลดลง

ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีทางเลือก บริษัท จึงเปิด โครงการ “จากด้วยใจ” ให้แก่พนักงานรับเหมาช่วงเข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออก ซึ่งพนักงานที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับเงินชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายแรงงาน และบริษัท ยังพิจารณาจ่ายเงินเพิ่มเติมพิเศษ ให้กับพนักงานที่เข้าร่วมโครงการ อีกด้วย หากสถานการณ์ของตลาดรถยนต์ดีขึ้น บริษัทยินดีที่จะรับพนักงานที่สมัครใจร่วมโครงการนี้ กลับเข้าทำงานเป็นลำดับแรก โดยคงอัตราค่าจ้างพร้อมสวัสดิการตามเดิม รวมทั้งจะมีการนับอายุงานต่อเนื่องอีกด้วย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,173 วันที่ 10 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559