นิด้าโพลเผยผลสำรวจ“กรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย”

29 มิ.ย. 2559 | 05:15 น.
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง“กรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27 – 28 มิถุนายน 2559 จากประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศ  กระจายทุกระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย  จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.44 ระบุว่า พระธัมมชโย ควรมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รองลงมา ร้อยละ 20.80 ระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควรรีบดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 9.36 ระบุว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลังกรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย ร้อยละ 8.00 ระบุว่า กรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย อาจทำให้สังคมแตกแยก

ร้อยละ 6.72 ระบุว่า คนไทยกลุ่มหนึ่งปล่อยให้ความเชื่อความศรัทธาอยู่เหนือกฎหมาย ร้อยละ 5.84 ระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ควรรอให้พระธัมมชโยหายอาพาธก่อนค่อยเข้าดำเนินการจับกุม ร้อยละ 5.12 ระบุว่า กรณีวัดพระธรรมกาย และ พระธัมมชโย เป็นวิกฤติของพระพุทธศาสนา ร้อยละ 3.12 ระบุว่า พระธัมมชโย ควรรอให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก่อนค่อยมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 2.16 ระบุว่า พระธัมมชโยถูกใส่ร้ายกลั่นแกล้ง ร้อยละ 1.44 ระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการโดยมีอคติ ร้อยละ 2.80 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ วัดพระธรรมกายไม่โปร่งใส มีการบิดเบือนคำสอนตามหลักพุทธศาสนา ส่วนคดีของวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย นั้น DSI ขาดความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างมาก ควรดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะพระธัมมชโยควรศึกออกจากการเป็นพระ และได้รับโทษตามกฎหมาย ในขณะที่บางส่วนระบุว่า พระธัมมชโยเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ทำความผิด และรัฐบาลไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และร้อยละ 25.68  ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ “ความเชื่อความศรัทธา” กับ “การปฏิบัติตามกฎหมาย” ว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.52 ระบุว่า “การปฏิบัติตามกฎหมาย” สำคัญกว่า  เพราะ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ของกฎหมาย กฎหมายสามารถบังคับใช้ได้กับทุกคน แต่ความเชื่อและความศรัทธา เป็นเรื่องของส่วนบุคคลซึ่งความเชื่อไม่ได้มีเหมือนกันทุกคน บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลจนเกินไป ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มีความยุติธรรม สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม ศาสนา ทุกศาสนาต้องเคารพกฎหมาย  หากไม่มีกฎหมายแล้ว บ้านเมืองย่อมเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน กรณีวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโยหากไม่มีความผิดจริง ควรเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย  รองลงมา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า “ความเชื่อความศรัทธา” สำคัญกว่า          โดยในจำนวนนี้ ระบุเหตุว่า เพราะ ประเทศไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีหลักคำสอนไม่ให้กระทำความผิดเบียดเบียน     ซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน หากทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว แต่กฎหมายของบ้านเมืองทุกวันนี้ขาดความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามความเชื่อและความศรัทธาต้องมีเหตุและผล ไม่งมงายจนเกินไป ขณะที่ ร้อยละ 8.08 ระบุว่า สำคัญพอ ๆ กัน และร้อยละ 4.32 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ