บริษัทชั้นนำของโลกชี้ CLMVT เป็นห่วงโซ่การผลิตโลกที่สำคัญ

17 มิ.ย. 2559 | 04:41 น.
ผู้นำภาครัฐและภาคเอกชนของ CLMVT รวมทั้งบริษัทชั้นนำของโลกชี้กลุ่มประเทศ  กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย มีศักยภาพสูงทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว แนะทั้ง 5 ประเทศมองภาพรวมของภูมิภาคและก้าวเดินไปด้วยกัน การพัฒนาและเชื่อมต่อด้านโลจิสติกส์ ดิจิตอลเทคโนโลยี และการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องกันมากขึ้น เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ CLMVT เป็นกำลังสำคัญในภูมิภาคอาเซียน และเวทีโลกได้

OPS_9859 นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่  16 มิถุนายน 2559 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน CLMVT Forum 2016: Towards a Shared Prosperity “ประสาน แบ่งปัน มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยมีรัฐมนตรีด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวจากประเทศทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม จำนวน 12 คน สำหรับฝ่ายไทยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของไทย ร่วมงานอย่างคับคั่ง นายกรัฐมนตรีของไทยได้เน้นถึงความเป็นมิตรและเพื่อนบ้านของประเทศในกลุ่ม CLMVT ที่มีความจริงใจต่อกัน ร่วมใจกัน เชื่อใจกัน เคารพกัน เกื้อกูลกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leave No One Behind) เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีผู้นำจากภาครัฐ และเอกชน จากกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย รวมทั้งจากประเทศต่าง ๆ อาทิ ญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป ตลอดจนบริษัทธุรกิจชั้นนำของโลกเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน

การเสวนาในวันแรก (16 มิถุนายน) มีวิทยากรจากประเทศต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองกว่า 40 คน โดยช่วงเช้าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองจาก CEO บริษัทชั้นนำของโลกด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ (Nissan Motor Asia Pacific Co. Ltd.) เทคโนโลยี  (Huawei Technology) โลจิสติก (DHL Global Forwarding) และท่องเที่ยว (Accor Group) โดยบริษัทเหล่านี้เห็นว่ากลุ่มประเทศ CMLVT มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งไทยมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพของทั้ง 5 ประเทศ ให้สามารถพัฒนาห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคอาเซียน และส่งออกไปยังทั่วโลกได้ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ถือว่าเป็นจุดแข็งของกลุ่ม CLMVT อันเนื่องมาจากการมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และมีบุคลากรที่เหมาะกับการให้บริการ เช่น มีความเป็นมิตร รอยยิ้ม และอัธยาศัยที่ดี อย่างไรก็ดี กลุ่ม CLMVT ยังต้องการการพัฒนาด้านดิจิตอลเทคโนโลยีอีกมาก โดยเฉพาะการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับอินเตอร์เนตความเร็วสูง ซึ่งจะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการติดต่อสื่อสารของผู้คน และรูปแบบการทำการค้าซึ่งจะเปลี่ยนมาเป็นลักษณะ e-commerce มากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีมาตรฐานและเชื่อมต่อกันมากขึ้นยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเพิ่มศักยภาพของ CLMVT ให้มากขึ้น ในมิติด้านการเงินและการธนาคาร ได้ย้ำถึงสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของ CLMVT โดยเฉพาะโอกาสที่น่าสนใจในภาคการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค สำหรับมุมมมองของญี่ปุ่นต่อทั้ง 5 ประเทศ เห็นว่า แต่ละประเทศควร “Think Regional” และฝ่ายญี่ปุ่นพร้อมให้การสนับสนุนทั้งการพัฒนาบุคลากร และงบประมาณ ในภูมิภาคนี้อย่างเต็มที่

ในช่วงบ่ายเป็นการเสวนาโต๊ะกลม (Round table) แลกเปลี่ยนความคิดเห็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มการค้า กลุ่มลงทุน และกลุ่มท่องเที่ยว โดยมีรัฐมนตรีจาก CLMVT และตัวแทนภาคเอกชน CLMVT ร่วมกันแบ่งปันประสบการณ์ และนำเสนอแนวทางการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค สำหรับกลุ่มการค้าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของรัฐมนตรีการค้า และนักธุรกิจชั้นนำของทั้ง 5 ประเทศ เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคต่อการเพิ่มการค้าระหว่างกัน โดยวงเสวนาเห็นร่วมกันว่าจะต้องลดอุปสรรคทางการค้าต่างๆ เช่น การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงและมีมาตรฐานที่ดี การลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง การปรับกฎระเบียบพิธีการศุลกากรให้มีความสอดคล้องกันเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการขนส่งสินค้า เป็นต้น ทั้งนี้  เห็นว่าควรมีการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมมากขึ้นในเวทีเจรจาที่มีอยู่ปัจจุบัน เช่น ASEAN National Single Window (NSW) และ Maekong-Business Council เป็นต้น รวมทั้งมีการเสนอแนวคิดในการสร้าง “Knowledge Tank” สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันของทั้งภาครัฐ อาทิ กฎหมาย กฎระเบียบภายใน และภาคเอกชน อาทิ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการทำธุรกิจ การค้าและการลงทุนในแต่ละประเทศ ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้มากขึ้น

งาน CLMVT Forum 2016 จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 16-18 มิถุนายน ศกนี้ ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าภาพ ด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการประชุมและการจัดนิทรรศการ (สสปน.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง และการสนับสนุนของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย