‘กฎหมายภาษีที่ดินฯใหม่’ ‘ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน/รัฐไม่เสียประโยชน์’

18 มิ.ย. 2559 | 05:00 น.
หลังจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบ(7มิ.ย.59)ในหลักการร่าง พระราชบัญญัติ(พรบ.)ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ....ซึ่งจะนำมาบังคับใช้แทนพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการปรับปรุงการเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งประกอบด้วย เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยาสามารถจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ทั้งนี้ประมาณการรายได้จัดเก็บของอปท.จะเพิ่มปีละกว่า 6 หมื่นล้านบาทนั้น

คาดสิ้นปีประเมินเสร็จทั้ง 18 ล้านแปลงทั่วประเทศ

"ฐานเศรษฐกิจ"มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษนายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ ถึงการเตรียมความพร้อมข้อมูลการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ โดยอธิบดีระบุว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปอย่างมากแล้ว คาดว่าสิ้นปีจะประเมินแล้วเสร็จทั้ง 18ล้านแปลงทั่วประเทศ จากปัจจุบันคืบหน้าแล้ว 13.7 ล้านแปลง ซึ่งอยู่ระหว่างขอสำนักงบประมาณอนุมัติงบประมาณ 800ล้านบาทสำหรับการจัดทำข้อมูล โดยแบ่งงบการใช้เงินออกเป็นการพัฒนาระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จำนวน 300 ล้านบาทและอีก 500 ล้านบาทที่เหลือจะเป็นการจ้างบุคลากรในการนำข้อมูลใส่เข้าสู่ระบบเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลไปยังหน่วยงานอื่นๆ เพื่อคำนวณราคาที่ดินรายแปลง

"หากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพของที่ดินหรือมีการพัฒนาถนน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ กรมฯ จะสามารถนำข้อมูลประมวลผลผ่านซอฟต์แวร์ได้ทันที เช่น เมื่อมีถนนเกิดขึ้น เช่น 4 เลนหรือ 8 เลน หรือระบบไฟฟ้าแรงสูงตลอดจนมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่โดยเฉพาะการมีรถไฟฟ้าเข้าถึงพื้นที่จะทำให้ราคาพื้นที่บริเวณรายรอบมีการขยับราคาขึ้นโดยอัตโนมัติและเปลี่ยนแปลงทันที ซึ่งซอฟต์แวร์จะเป็นตัวคำนวณราคาสะท้อนข้อมูลที่แท้จริงมากขึ้น"

ดึงระบบดิจิตอลเชื่อมฐานข้อมูล

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันฐานข้อมูลเดิมของกรมธนารักษ์มีการใช้ข้อมูลดิจิทัลเพียงบางส่วน ที่เหลือเจ้าหน้าที่ต้องประเมินโดยใช้โฉนดที่เป็นกระดาษ เนื่องจากต้นทางคือกรมที่ดินยังทำระบบดิจิทัลไม่ครบทั้งหมด ดังนั้นเมื่อกรมที่ดินทำระบบโฉนดดิจิทัลแล้วเสร็จจึงจะเชื่อมโยงข้อมูลของกรมที่ดินเข้ามาอยู่ในระบบของกรมธนารักษ์อัตโนมัติ

นอกจากนี้ข้อมูลของทางกรมฯยังเชื่อมตรงไปยังหน่วยงานส่วนท้องถิ่นทั้งหมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์จากการทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์และสามารถมีฐานข้อมูลร่วมกันในอนาคต คาดว่าฐานข้อมูลจะพัฒนาและใช้ได้จริงภายในปี 2560

ซึ่งแน่นอนว่ายังเป็นการเชื่อมโยงไปถึงเอกชนที่สามารถนำข้อมูลจากกลุ่มไปใช้ เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน ตลอดจนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการตรวจสอบข้อมูลและจะเป็นฐานของภาษีที่ดินฯที่จะจัดเก็บต่อไปในอนาคตซึ่งกรมฯ จะให้บริการต่อไปในอนาคต

ขณะเดียวกันก็จะมีราคาสิ่งปลุกสร้างที่จะตามมาในกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งหน่วยงานส่วนท้องถิ่นจะต้องเป็นผู้ประเมินเพื่อจัดเก็บภาษีต่อไปและอนาคตระบบดิจิตอลที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจะรองรับราคาที่ดินรายแปลงทั้งหมด และที่สำคัญยังรองรับราคาสิ่งปลูกสร้างรายแปลงอีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าท้องถิ่นสามารถประเมินและทำราคาสิ่งปลูกสร้างได้ทั้งหมดแล้ว เมื่อถึงเวลาประเมินภาษีที่ดินฯ แล้วสามารถนำข้อมูลสิ่งปลูกสร้างมาใส่ในระบบ สามารถรายงานออกมาได้เลยว่าที่ดินแต่ละแปลงเพื่อรวมกับสิ่งปลูกสร้างแล้วควรจัดเก็บอัตราภาษีอยู่ที่เท่าใด

วาง5รูปแบบประเมินราคาทรัพย์/สิ่งปลูกสร้าง

ในแง่ของการจัดเก็บนั้น อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า เดิมส่วนท้องถิ่นประเมินราคาทรัพย์สิน/สิ่งปลูกสร้างอยู่แล้ว เพียงแต่ในอดีตจะมีรูปแบบหลากหลาย แต่ภายใต้พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฯจะมีเพียง 5รูปแบบ โดย 4 รูปแบบแรกจะเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย คือ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแถวและอาคารพาณิชย์ ตามพระราชบัญญัติกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเรื่องการขอก่อสร้างที่อยู่อาศัย ส่วนรูปแบบที่ 5 ว่าด้วยเรื่องอื่นๆ เช่นโกดัง หรือโรงแรมซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นจะต้องประเมินแยกออกไปอีกรูปแบบ

"การประเมินราคาใน 4รูปแบบสำหรับที่อยู่อาศัยจะง่ายมากขึ้นยึดตามพื้นที่หรือขนาดพื้นที่ใช้สอยแต่ละบ้าน คือ ต่อ 1 ตารางเมตร เช่น ที่อยู่อาศัย 100 ตารางเมตรก็คูณกับอัตราภาษีที่จัดเก็บ ดังนั้นกรณีบ้านที่ก่อสร้างขึ้นด้วยวัสดุจะแพงหรือถูกจึงไม่ส่งผลต่อการประเมินอัตราภาษีที่จัดเก็บ"

ที่สำคัญเป็นการลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นช่องโหว่ของการทุจริต ส่วนการจัดเก็บขึ้นอยู่กับกระทรวง มหาดไทยจะต้องออกประกาศกำหนดอัตราที่เหมาะสมให้กับแต่ละท้องถิ่นว่าควรจัดเก็บในอัตราใด หรืออาจเปิดช่องให้แต่ละท้องถิ่นสามารถจัดเก็บรายได้ตามระดับในอัตราที่ต่ำหรือสูงแต่ต้องไม่เกินเพดานที่กำหนดไว้แต่ละกลุ่ม เพื่อให้ภาษีที่สมควรเก็บได้ไม่หลุดหายไประหว่างทาง โดยคำนวณบนพื้นฐานมูลค่าของทรัพย์สิน

ยึดหลักการปชช..ไม่เดือดร้อนรัฐไม่เสียประโยชน์

ทั้งนี้ในหลักการไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากและรัฐจะต้องไม่เสียประโยชน์ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นการจัดเก็บรายได้ของทรัพย์สินย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นการจัดเก็บภาษีที่แพงขึ้นคงต้องขึ้นอยู่กับว่าการพัฒนาของท้องถิ่นว่ามีมากน้อยเพียงไร ทั้งระบบถนน ระบบประปา ระบบไฟฟ้าหรือโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆเหมาะสมที่จะจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นหรือไม่ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของท้องถิ่นนั้นเช่นกัน อย่างนั้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะสร้างความเป็นธรรมเรียกว่าใครมีทรัพย์สินเยอะก็ต้องจ่ายเยอะ

"ในอดีตที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าภาครัฐเสียประโยชน์ไปเยอะขณะที่คนได้ประโยชน์ก็เยอะแต่ต่อไปก็คงจะเริ่มเข้าสู่จุดสมดุลเพราะการจัดเก็บรายได้หรือทุกอย่างจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่คิดเอาเองว่าบ้านหลังนี้เก็บภาษีเท่านี้ต่อไปปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก"

บ้าน/อาคารอาจจ่ายภาษีในอัตราที่ลดลง

สำหรับการจ่ายภาษีสำหรับทรัพย์สินที่เป็นบ้านหรืออาคารมีแนวโน้มว่าอาจเสียในอัตราที่ลดลงเนื่องจากมีการนำค่าเสื่อมมาประกอบการจัดเก็บในปีถัดไป เช่น เมื่อประเมินมีการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอาศัยต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีจะมีการคิดค่าเสื่อมเข้ามาอยู่ในการประเมินอัตราภาษี

ส่วนภาษีที่ดินเข้าใจว่าทุกคนจะต้องจ่ายไม่ว่าจะเป็นแปลงเล็กหรือแปลงใหญ่ หากกรณีที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง เช่นบ้านหากราคาต่ำกว่า 50 ล้านบาทก็ยังไม่ต้องจ่ายภาษี ถือเป็นการสนับสนุนให้เกิดการจ่ายภาษีและมีการใช้ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพไม่ใช่ถือครองหรือปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ก็จะถูกเก็บในอัตราที่สูงขั้น 2 เท่า เพราะฉะนั้นในอนาคตภาษีที่ดินจะเป็นเครื่องจักรสำคัญให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างต่อเนื่องและเต็มศักยภาพ

ราคาที่ราชพัสดุจะใกล้เคียงเอกชน

นายจักรกฤศฏิ์ ให้สัมภาษณ์ในตอนท้ายว่า สำหรับที่ราชพัสดุซึ่งเป็นที่ดินรายแปลง ต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะที่ดินที่นำไปพัฒนาเชิงพาณิชย์ราคาจะใกล้เคียงกับราคาของเอกชน รวมถึงระบบการบริหารจัดการที่ดินในการเปิดเช่านั้นจะใช้ระบบการประมูลไปแข่งขันกันที่ผลตอบแทน ที่สำคัญเมื่อทางกรมเปิดประมูลที่ราชพัสดุแปลงนั้นจะสามารถกำหนด ราคาขั้นต่ำของที่ดินแต่ละแปลงได้ชัดเจน หรือลบล้างประเด็นการมีผู้ทรงอิทธิพลที่จะเข้ามาบีบราคาที่ราชพัสดุให้ต่ำลง ซึ่งท้ายสุดการจัดเก็บรายได้จากการเปิดเช่าหรือประมูลที่ราชพัสดุก็จะสูงขึ้นจากปัจจุบัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,166 วันที่ 16 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559