บจ.รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 รวม 233,322 ล้านบาท

19 พ.ค. 2559 | 10:50 น.
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2559 ของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มียอดขายรวม 2,383,912 ล้านบาท ลดลง 6.17% จากงวดเดียวกันปีก่อน แต่ผลจากอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ทำให้ บจ. มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 233,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.96% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 28.43% จากไตรมาส 4/2558

ดร. สันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ. ใน SET จำนวน 514 บริษัท หรือคิดเป็น 92.28% จากทั้งหมด 557 บริษัท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF & REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) / ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และ บริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงาน งวดไตรมาส 1/ 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 แล้ว โดย บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 423 บริษัท คิดเป็น 75.94% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด มียอดขายรวมเท่ากับ 2,383,912 ล้านบาท ลดลง 6.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์มียอดขายลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน และ บจ. มีกำไรสุทธิ 233,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.96% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจในภาคการบริการและอุปโภคบริโภค คือ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดเหล็ก หมวดขนส่ง หมวดพาณิชย์ เป็นต้น

ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 บจ. มียอดขายลดลง 7.42% แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.43% และเมื่อพิจารณาฐานะของกิจการพบว่า โครงสร้างเงินทุนของ บจ. ยังคงแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (debt-to-equity ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.27 เท่า เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2558 ที่ 1.24 เท่า และมีอัตราส่วนภาระหนี้สินต่อทุน (Interest bearing debt-to-equity ratio) (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 0.69 เท่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก ณ สิ้นปี 2558

ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่รวมธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีภัณฑ์ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่องจากปี 2558 ผลการดำเนินงานโดยรวมพบว่า บจ. จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.03% และมีกำไรสุทธิทรงตัวจากปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 1/2559 ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงต่อเนื่อง มีส่วนทำให้ บจ. ใน SET มีรายได้ลดลงจากปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ปรับลดลง อย่างไรก็ดี ขณะเดียวกันมีส่วนช่วยให้ บจ. มีต้นทุนการผลิตลดลงเช่นกัน จึงทำให้ในภาพรวม บจ. มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 24.55% เทียบกับ 21.74% ในช่วงเดียวกันในปีก่อน

ผลการดำเนินงานของ บจ. สะท้อนให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ บจ. ในเรื่องแรก คือ การมีอัตรากำไรดีขึ้น ซึ่งพบถึง 21 หมวดธุรกิจ และเรื่องที่สองคือ การฟื้นตัวด้านยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้น และการมีกำไรสุทธิปรับสูงขึ้น ซึ่งพบมีถึง 10 หมวดธุรกิจ และส่วนใหญ่อยู่ในหมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการบริการ และการอุปโภคบริโภค ได้แก่ หมวดขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง เหล็ก พาณิชย์ บรรจุภัณฑ์ สินค้าแฟชั่น ของใช้ในครัวเรือนสำนักงาน และบริการเฉพาะกิจ

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส1 ปี 2559 ของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปรับลดลง โดย บจ. mai มียอดขาย 31,036 ล้านบาท ลดลง 0.14% และมีกำไรสุทธิ 1,782 ล้านบาท ลดลง 19.47% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเช่นกันจาก 25.48% เป็น 24.24%