รอบด้านตลาดหุ้น by  Bualuang Securities  

13 พ.ค. 2559 | 04:55 น.
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22% ปิดที่ 1399.31 จุด หนุนโดย กลุ่มที่มีผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/59 เติบโตดีขึ้น เช่น กลุ่มปิโตรเคมี กำไรหลักเติบโตจากราคาและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูงและได้ประโยชน์จากน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น กลุ่มอาหาร ธุรกิจกุ้งขาดทุนลดลงอย่างมากขณะที่มาร์จิ้นของธุรกิจปศุสัตว์ที่ปรับตัวดีขึ้น ต้นทุนข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่ลดลง กลุ่มค้าปลีกไม่ใช่อาหาร รายได้เติบโตจากยอดขายสาขาเดิมที่ดีขึ้น ค่าเช่าที่สูงขึ้น และอัตรากำไรที่ขยายตัว กลุ่มธุรกิจเช่าซื้อ จากแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2559 ขณะที่หุ้นพลังงานปรับตัวขึ้นไปพร้อมกับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบ 46 เหรียญต่อบาร์เรลเนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลง สวนทางกับกลุ่มสื่อสารและธนาคารปรับตัวลงอยู่ในกลุ่มที่มีสัญญาณอ่อนกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัด

กลยุทธ์ที่เหมาะสมเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายกลุ่ม เน้นหุ้นที่มีการเติบโตของผลกำไรบริษัทฯโตต่อเนื่อง และใช้สัญญาณทางเทคนิคเข้ามาช่วยจับจังหวะการซื้อขาย ขณะที่ภาพรวม SET แกว่งตัวอยู่ในกรอบที่ให้ไว้ 1380-1410 จุด (Bollinger band)

คำแนะนำ: เลือกลงทุน

รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้

(+) CPF (BUY/TP Bt36)  สรุปการประชุมนักวิเคราะห์: ธุรกิจกุ้งไทยที่กลับมาฟื้นตัวแรงในปีนี้จะเป็นปัจจัยหลักหนุนกำไรหลักของ CPF ให้เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด นอกเหนือจากปัจจัยบวกอื่นๆ เช่น มาร์จิ้นของธุรกิจปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ราคาหมูปรับขึ้นส่งผลให้ธุรกิจในเวียดนามและกัมพูชากลับมามีกำไรเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบกากถ่วเหลืองยังคงทรงตัวในระดับต่ำ เราคิดว่ากำไรหลักของ CPF อยู่ในช่วงภาวะขาขึ้น และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิและราคาเป้าหมาย

(-) MCOT (SELL)  รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 1/59 ที่ 147 ล้านบาท ผลประกอบการต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2009 เนื่องจากรายได้โฆษณาที่ลดลง จากภาวะการบริโภคและเม็ดเงินโฆษณาที่ยังคงอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแข่งขันแย่งชิงเม็ดเงินโฆษณาทีวีที่ยังคงรุนแรงจากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายอื่น การลดลงของรายได้จากธุรกิจวิทยุและสื่อใหม่ รวมถึงต้นทุนบริการที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

(+) SAPPE  รายงานกำไร 1Q16 ที่ 68 ล้านบาท เป็นไปตามที่เราคาด แต่ดีกว่าตลาดคาด 33% (ลดลง 15%YoY แต่เพิ่มขึ้น 85%QoQ จากฐานต่ำ) คาดกำไร 2Q16 จะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ จากการเปลี่ยนแนวการตลาด re-launch SAPPE for-one-day และการแฟเพรียว เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท

(-) TSE กำไรสุทธิ 1Q16 ที่ 129 ล้านบาท (ลดลง 8%YoY แต่เพิ่มขึ้น 8%QoQ) น้อยกว่าคาดราว 10% ไฮไลท์มาจากSG&A ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 38 ล้านบาท (มากกว่าคาดที่ราว 20 ล้านบาท) เพราะวิธีการลงบัญชีในโครงการรูฟท๊อป ซึ่งระหว่างก่อสร้างสามารถบันทึกรวมเป็นต้นทุนโครงการได้ แต่หลังจากมีการ COD ต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย เรามีแนวโน้มจะทบทวนประมาณการกำไรลงราว 13% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่าย SG&A ที่มากกว่าคาด อย่างไรก็ดีคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.25 บาท แม้จะมีความเสี่ยงจากการปรับคาดการณ์กำไรลง เราคาดราคาหุ้นจะสะท้อน P/E เพียง 15.9 เท่า หลังจากปรับกำไรลง ซึ่งนับว่าให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ยกลุ่มอยู่มาก

(+) LH กำไรหลัก 1Q16 อยู่ที่ 1.98 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 47%YoY แต่ลดลง 10% QoQ มากกว่าคาด 11% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่าคาด แนวโน้ม 2Q16 คาดกำไรเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ (เพราะหมดมาตรการรัฐฯ และไม่มีคอนโคใหม่เข้ามาโอน) เราคงคาดการณ์กำไร และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท

(+) LPN กำไรหลัก 1Q16 อยู่ที่ 704 ล้านบาท (+141%YoY และ +145%QoQ) เป็นไปตามคาด กำไรที่ดีเกิดจาก รายได้การโอนคอนโดที่เติบโตดี และ SG&A/Revenue ที่ต่ำ คาดกำไรจะเติบโต YoY และ QoQ ต่อใน 2Q16 โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากรายได้ที่เติบโตและ SG&A/Revenue ที่ต่ำอยู่ เราคงประมาณการกำไร และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 20 บาท

(+) MINT รายงานกำไรสุทธิ 3.75 พันล้านบาท (ทำจุสูงสุด) จากกำไรพิเศษทางบัญชีจากการซื้อ Tvoli โดยกำไรหลัก 1Q16 อยู่ที่ 1.64 พันล้านบาท (+9%YoY และ -9%QoQ) เป็นไปตามคาด เรามองกำไร 2Q16 ยังคงเติบโตได้ดี YoY จาก high season ของ Tvoli และ SSS ในกลุ่มอาหารยังคงเติบโตได้ดี นอกจากนี้ยังมีโอกาสรับรู้กำไรพิเศษจากการซื้อ Sun International เราคงประมาณการกำไร และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 42 บาท เราชอบ MINT มากที่สุดในกลุ่มฯ เพราะกำไรปีนี้คาดโต 25% และในช่วง low season 2Q-3Q จะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่ากลุ่ม

(+) TFG รายงานกำไรสุทธิที่ 201 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 1/59 กลับมาจากขาดทุนทั้ง YoY และ QoQ ถ้าไม่รวมรายการพิเศษ กำไรหลักจะอยู่ที่ 23 ล้านบาท กลับจากขาดทุนหลักทั้ง YoY และ QoQ กำไรสุทธิและกำไรหลักพลิกกลับมาเป็นกำไรได้เร็วเกินกว่าที่เราคาด มุมมองไตรมาส 2/59 เรามองว่า TFG จะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ จากราคาสุกรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอุปทานโดนกระทบจากภาวะอากาศที่ร้อนจัด ราคาหุ้น TFG ในปัจจุบันคิดเป็น PER ปี 2559 ที่ 11 เท่า ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม (ค่าเฉลี่ย PER ปี 2559 ของ GFPT และ CPF อยู่ที่ 13.3 เท่า) ราคาหุ้นตรงนี้จึงเป็นจุดที่น่าสนใจในการเข้าซื้อ เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ที่มา:บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง

ธนรัตน์ อิศรกุล  นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์/ปัจจัยทางเทคนิค