บ้านปูฯ ลงทุนโซลาร์ฟาร์ม 78.5 เมกะวัตต์ในจีน

13 พ.ค. 2559 | 06:42 น.
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“BPP”) บริษัทในเครือของบ้านปูฯ ได้ทำสัญญาเพื่อครอบครองสิทธิในการซื้อหุ้นในอนาคตในสัดส่วนร้อยละ 100 ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศจีนจำนวน 4 โครงการในมณฑลซานตง  ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 78.5 เมกะวัตต์ การซื้อหุ้นภายใต้สัญญานี้จะกระทำบนเงื่อนไขที่โครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่เครือข่ายสายส่งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงกลางปี 2559

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายการลงทุนโซลาร์ฟาร์มในจีนครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญตามแผนยุทธศาสตร์ของ BPP ในการเสาะหาโอกาสการลงทุนในตลาดที่มีปัจจัยเกื้อหนุนการเติบโต และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอย่างดี โดยต่อยอดจากทักษะความชำนาญจากการทำธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น และประสบการณ์กว่าทศวรรษในธุรกิจไฟฟ้าในจีน  นอกจากนั้น โครงการโซลาร์ฟาร์มในมณฑลซานตงที่เพิ่มเข้ามาปีนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง กำลังการผลิต 1,320  เมกะวัตต์ ที่จะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2560 เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับแผนของบ้านปูฯ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนให้เป็น 4,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า โดยแบ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 20 ภายในปี 2568 อีกด้วย

ซานตงเป็นมณฑลที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงเป็นอันดับ 3 ของจีน และมีจำนวนประชากรมากกว่า 90 ล้านคน  อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมโจวผิงซึ่ง BPP ได้ลงทุนดำเนินการในสัดส่วนร้อยละ 70 มาตั้งแต่ปี 2549  ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์ฟาร์มทั้ง 4 โครงการจะถูกจำหน่ายเข้าไปยังเครือข่ายสายส่งไฟฟ้าของมณฑลและอยู่บนโครงสร้างรายได้ค่าไฟฟ้าและเงินอุดหนุนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ โครงการทั้งหมดจะใช้เงินลงทุนโครงการจำนวนประมาณ 604 ล้านหยวน (เทียบเท่าประมาณ 93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งจะมาจากสองส่วน คือ หนี้สินและทุน

สำหรับไตรมาส 1/2559 บ้านปูฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในธุรกิจไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เทียบกับไตรมาสที่แล้ว ด้านโรงไฟฟ้า BLCP รายงานผลการดำเนินงานที่ดีด้วยการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และอัตราการจ่ายไฟฟ้าที่สูง โดยมีส่วนแบ่งกำไรจำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนโรงไฟฟ้าหงสายังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิต ซึ่งยูนิตสุดท้ายได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา โดยรายงานส่วนแบ่งกำไรจำนวน 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

บ้านปูฯ ยังคงสามารถดำเนินการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/2559 EBITDA จากธุรกิจถ่านหินในไตรมาสนี้คิดเป็น 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยบริษัทฯ ตั้งเป้าลดต้นทุนเฉลี่ยสำหรับธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียให้อยู่ที่ 43 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันในปี 2559  จาก 49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันในปี 2558  และในออสเตรเลียให้อยู่ที่ 48 เหรียญออสเตรเลีย จาก 49 เหรียญออสเตรเลียต่อตันในปี 2558

ธุรกิจถ่านหินออสเตรเลียปรับตัวดีขึ้นด้วยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากเหมืองMandalong ซึ่งกลับมาดำเนินการผลิตตามปกติหลังจากเสร็จสิ้นการย้ายเครื่องจักรในไตรมาสก่อนหน้า และเนื่องจาก Mandalong สามารถใช้เครื่องจักรดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่ จึงส่งผลให้ปริมาณขายถ่านหินสำหรับไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อนหน้าเป็น 3.4 ล้านตัน  ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 23 จากร้อยละ 17 ในไตรมาสก่อนหน้า

“ธุรกิจไฟฟ้าที่เดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบในธุรกิจถ่านหิน  ทำให้ EBITDA สำหรับไตรมาสนี้รักษาระดับอยู่ที่ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบเท่ากับไตรมาสก่อนหน้า โดยจากนี้เราคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนล่าสุดด้าน Shale Gas ในสหรัฐอเมริกา และมีกระแสเงินสดที่เติบโตขึ้นจากธุรกิจไฟฟ้า ผู้ถือหุ้นมีโอกาสในการลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาวของบ้านปูฯ โดยสามารถใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 5.00 บาทต่อหุ้นระหว่างวันที่ 23-31 พฤษภาคม 2559 นี้  การเสนอหุ้นเพิ่มทุนพร้อมวอแรนต์ครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้บริษัทฯ สามารถคว้าโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อการเติบโตต่อไปในอนาคต” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย