“โกลเบล็ก”มองหุ้นไทยขาดปัจจัยใหม่ให้กรอบดัชนี  1,400 – 1,430 จุด

28 เม.ย. 2559 | 03:45 น.
[caption id="attachment_48564" align="aligncenter" width="336"] k.วิลาสินี วิลาสินี บุญมาสูงทรง[/caption]

บล.โกลเบล็ก มองดัชนีหุ้นไทยไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ จับตานักลงทุนต่างชาติโยกเงินลงทุนไทยมากขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รอจังหวะชอปหลังแจ้งงบไตรมาส 1/59 ภายในกลางเดือนพ.ค.นี้ คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,400 – 1,430 จุด  ด้านราคาทองมีแนวโน้มขึ้น ให้กรอบแนวรับที่ 1,220-1,215 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,275-1,280 เหรียญต่อทรอยออนซ์

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% ตามคาด และส่งสัญญาณว่ายังไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย  อีกทั้ง มองว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ไหลกลับเข้าไทยอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงต่ำลง บวกกับเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยกัน นอกจากนี้ ธนาคารโลกปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2559 ขึ้นสู่ระดับ 41 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากเดิมที่คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบไว้ที่ระดับ 37 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังคงต้องจับตาประเด็นเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ อาทิ การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันที่ 27-28 เม.ย.นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า BOJ จะดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มด้วยการใช้นโยบาย QE มากกว่าการใช้ดอกเบี้ยติดลบเพื่อแก้ปัญหาส่งออก ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนตัว รวมทั้งทางสหรัฐเองจะมีการรายงานตัวเลข  GDP ในช่วงไตรมาส 1/2559 ในวันที่ 28 นี้ และธปท.ของไทยจะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนวันที่ 29 เม.ย.นี้ และยูโรโซนเปิดเผยตัวเลข GDP ในช่วงไตรมาส 1/2559

ด้านนายชัยยศ จิวางกูรผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบ 1,400 – 1,430 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน ประกอบกระแส Fund Flow ต่างชาติชะลอการเข้าซื้อหลังจาก P/E ของ SET ไทยพุ่งขึ้นมาที่ระดับ 21 เท่า ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในระยะสั้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามมองว่าการย่อตัวเป็นจังหวะเข้าซื้อต่อเนื่องจากมีประเด็นการประกาศงบไตรมาส 1/2559 ที่จะทยอยประกาศถึง 16 พ.ค. นี้

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในการซื้อสะสมแบบ Selective Buy  ในหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 44 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และหุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 1/2559 เติบโต เช่น  AOT, BA, AAV, EPG, CPF, WORK,  SMT, LPN, PTG,  BJCHI,  COM7, BANPU, TWPC, TVD และ XO นอกจากนี้แนะนำเก็งกำไรหุ้น STA TRUBB รับปัจจัยบวกจากราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 195 เยน/กิโลกรัม และการที่ครม.อนุมัติวงเงิน 5,479 ล้านบาทสำหรับใช้ในโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นช่วงสั้นๆตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์จากแรงหนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงหลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานยอดขายบ้านใหม่ลดลงผิดคาดในเดือนมี.ค.และการรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนมี.ค. รวมถึงดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.พ.

ขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับลงหลังธนาคารบาร์เคลย์ระบุว่ายังไม่เชื่อมั่นว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นหรือคงอยู่ที่ระดับเดิมได้ มอร์แกน สแตนลีย์ เผยว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นเกิดจากคำสั่งซื้อของเฮดจ์ฟันด์โดยไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน ทำให้นักลงทุนบางส่วนออกจากตลาดน้ำมันและมาลงทุนในตลาดทองคำแทน  ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมเฟดในวันที่ 26-27 เม.ย.นี้และคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้

ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)ในวันที่ 28 เม.ย.นี้ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะขยายนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ซึ่งจะสร้างแรงหนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ

ดังนั้นประเมินว่าแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิคมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ โดยล่าสุดราคาทองเริ่มสร้างแท่งเทียนที่เรียงตัวเป็นขาขึ้นระยะสั้นและสามารถไต่ขึ้นมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วันที่แกว่งตัวใกล้กัน  ทำให้ราคาทองกลับมาอยู่ในแนวขึ้นไหล่ขวาอีกครั้ง และค่าสัญญาณทางเทคนิคที่ปรับขึ้น ทำให้ราคาแนวโน้มปรับขึ้นต่อ จึงให้กรอบแนวรับที่ 1,220-1,215 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,275-1,280 เหรียญต่อทรอยออนซ์