เกษตรกร-แรงงานรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ม.หอการค้าแนะเพิ่มค่าแรงขั้นตํ่า 5-7%

21 เม.ย. 2559 | 13:00 น.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจค่าครองชีพไทยแพงจริงหรือไม่ และผลกระทบของประชาชนในช่วงภัยแล้ง โดยสำรวจระหว่างวันที่ 25 มีนาคม-11 เมษายน 2559 จำนวน 1,356 ตัวอย่างทั่วประเทศ ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้พอดีกับรายจ่ายรายจ่าย แต่ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร และรับจ้าง ยอมรับว่าตนมีรายได้ ไม่พอกับค่าใช้จ่าย และยังรู้สึกว่าราคาสินค้าในปัจจุบันมีราคาแพงขึ้น เมื่อเทียบกับหลายปีก่อน หรือประมาณ 2-3 ปีก่อนหน้า แต่ทั้งนี้ประชาชนส่วนมากระบุว่ารับได้ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากอดีต เพราะเห็นว่าเป็นการปรับขึ้นตามกลไกของราคาตลาด ขณะที่ปริมาณการซื้อสินค้ายังคงมีการบริโภคปกติเท่าเดิม ทั้งนี้ในปี 2558 รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน อยู่ที่ 26,915 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 6.83% จากปีก่อนหน้า รายจ่ายต่อครัวเรือน อยู่ที่ 21,157 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น11% และหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน อยู่ที่ 156,770 บาทต่อปี

"แม้เงินเฟ้อของไทยจะติดลบ มาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2558 จากเศรษฐกิจที่ซึมตัว ภัยแล้ง และการเมือง แต่ประชาชนยังคิดว่าของแพงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย ที่มีรายจ่าย มากกว่ารายรับ ซึ่งกลุ่มนี้จะแก้ไขปัญหาโดยการหันไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น"

อย่างไรก็ตามในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาประชาชน 41.2% ระบุว่า มีรายได้พอดีกับรายจ่าย 27.6% ระบุว่ามีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย และ 31.2% ระบุว่า มีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ซึ่งกลุ่มที่มีรายได้ไม่พอใช้ 62% จะหันไปกู้ยืมทั้งในระบบ และนอกระบบ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายแทน หรือจะมีการนำเงินออมมาใช้ หารายได้เสริม และประหยัดค่าใช้จ่ายขณะที่ภัยแล้ง ประชาชนระบุว่าส่งผลกระทบต่อ ต้นทุนการผลิต ปริมาณการผลิต ต้นทุนการหาแหล่งน้ำ รายได้จากการทำการเกษตร หนี้สินของครัวเรือน และการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งประชาชนประมาณ 80.5% ระบุว่าในการแบกรับภาระหรือการรับมือต่อภัยแล้ง ทำได้น้อย หรือทำไม่ได้เลย และในสถานการณ์ภัยแล้งที่จะยืดไปถึงช่วง มิถุนายน 2559 จะทำให้เม็ดเงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 119,278 กระทบต่อจีดีพี 0.85% ซึ่งหอการค้าไทยมองว่าผลกระทบนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยให้โตต่ำกว่า 3% ดังนั้นรัฐบาลควรมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ผ่านโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆของรัฐให้เร็วที่สุด ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 2-3 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่า 3%

นอกจากนี้ยังต้องการให้รัฐ และผู้ประกอบการพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับภาคแรงงาน เพื่อเพิ่มรายรับให้สอดคล้องกับรายจ่ายในปัจจุบัน เพราะค่าแรงขั้นต่ำยังอยู่นิ่งที่ 300 บาทมาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว โดยอาจปรับขึ้นในกรอบ 5-7% หรือจาก 300 บาทต่อวัน เพิ่มเป็น 310-315 บาทต่อวัน แต่ทั้งนี้การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่เท่ากันทั่วประเทศ ต้องพิจารณาตามพื้นที่ ค่าครองชีพ

Photo : Pixabay
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,150 วันที่ 21 - 23 เมษายน พ.ศ. 2559