ธนาคารกรุงเทพกำไรสุทธิไตรมาสแรกกว่า 8พันล้าน

19 เม.ย. 2559 | 16:06 น.
Breaking-News ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 จำนวน 8,317 ล้านบาท เทียบกับ 7,681 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2558 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 16,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 417 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 10,672 ล้านบาท ลดลง 121 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานจำนวน 12,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 710 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.8

ในไตรมาส 1 ปี 2559 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐและการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังถูกกดดันจากรายได้เกษตรกรที่ตกต่ำ ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิต รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในบางกลุ่มธุรกิจแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ การส่งออกสินค้าที่ไม่นับรวมทองคำยังมีทิศทางหดตัวตามเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะจีน ประกอบกับราคาสินค้าส่งออก ยังปรับตัวลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก จากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ธนาคารมี เงินให้สินเชื่อจำนวน 1,874,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,021 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 จากสิ้นปี 2558 โดยเติบโตจากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายกลางและรายปลีก และสินเชื่อกิจการธนาคารต่างประเทศ

จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 61,841 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 2.9 อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมพร้อมทั้งให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเสมอมา

นอกจากนี้ ธนาคารยึดหลักความระมัดระวังด้วยการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ธนาคารมีเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูง ในไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 3,644 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 5.8

ด้านสภาพคล่อง ธนาคารยังคงให้ความสำคัญเรื่องการบริหารสภาพคล่องควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,149,333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58,368 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 87.2 เทียบกับ ร้อยละ 89.4 ณ สิ้นปีก่อน

ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2559 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 8,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 636 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2558 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 16,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 417 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.7 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.04 เป็นร้อยละ 2.37 เนื่องจากต้นทุนเงินฝากลดลง ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 10,672 ล้านบาท ลดลง 121 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 ส่วนใหญ่ลดลงที่กำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีจำนวน 6,103 ล้านบาท ลดลง 134 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.1 จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 12,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 710 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.8
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 และกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2559 หักด้วยเงินปันผลที่จะจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2559 รวมเข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 18.5 ร้อยละ 16.5 และร้อยละ 16.5 ตามลำดับ

ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีจำนวน 370,518 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.6 ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 194.11 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 4.55 บาท จากสิ้นปี 2558