เตือนภัยคอทองแดง! เลี่ยงดื่มเหล้าช่วงอากาศร้อนอบอ้าว เสี่ยงช็อก เสียชีวิต!!

11 เม.ย. 2559 | 05:26 น.
นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ โฆษกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สภาพอากาศในประเทศร้อนอบอ้าวมาก โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน บางแห่งอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส           เกินอุณหภูมิปกติของร่างกายซึ่งอยู่ที่ระดับ 37 องศาเซลเซียส สภาพอากาศเช่นนี้ อาจส่งผลให้ประชาชนมีการเจ็บป่วย เนื่องจากความร้อนทำให้หลอดเลือดขยายตัว จะมีผลต่อการหมุนเวียนของเลือดในร่างกาย เกิดการสูญเสียน้ำผ่านทางผิวหนังและต่อมเหงื่อมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เนื่องจากน้ำจะเป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดียิ่งขึ้น

ประชาชนที่ต้องทำงานกลางแจ้งหรือผู้ที่ออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน ส่วนผู้ที่ทำงานในที่ร่ม ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ทั้งนี้วิธีการสังเกตว่าร่างกายตนเองได้รับน้ำเหมาะสมเพียงพอหรือไม่นั้น ประชาชนสามารถสังเกตง่ายๆ จากสีของน้ำปัสสาวะ หากมีสีเหลืองจางๆ แสดงว่าได้รับน้ำเพียงพอ แต่ถ้าปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มคล้ายน้ำชาและปัสสาวะออกน้อย แสดงว่าได้รับน้ำไม่เพียงพอจะต้องดื่มน้ำให้มากๆ

สำหรับเครื่องดื่ม ที่ประชาชนไม่ควรดื่มในช่วงที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าว คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมทุกชนิด เช่น  เหล้า เบียร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ น้ำตาลเมา เป็นต้น ไม่ว่าจะดื่มโดยใส่น้ำแข็งหรือไม่ใส่ก็ตาม เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนังขยายตัวมากขึ้น จะมีผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม         การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว และออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้นจะมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจทำงานต้องหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย  อาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ ยิ่งหากผู้ดื่มที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก จะเพิ่มแรงดันโลหิตให้สูงขึ้น อาจเกิดปัญหาเส้นเลือดแตกเสียชีวิตหรือเป็นอัมพาตได้เช่นกัน

ทั้งนี้ข้อมูลผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุดเมื่อปี 2557 ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป มีผู้ดื่มเหล้ามากถึง     17 ล้านกว่าคนหรือประมาณร้อยละ 32 ของประชากรวัยนี้ที่มีประมาณ 54 ล้านกว่าคน