หรือสหรัฐฯ-จีน จะเตรียมปิดฉากสงครามการค้า?

19 ก.ย. 2562 | 04:26 น.

ครบเครื่องเรื่องทองกับ YLG โดย พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

ข่าวสงครามการค้าที่ปกคลุมตลาดมานานร่วม 2 ปี เป็นตัวแปรหลักที่ขับเคลื่อนราคาทองคำให้ทะยานขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จนสามารถขึ้นไปทำระดับสูงสุดครั้งใหม่ของปี 2019 ที่ระดับ 1,557 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

หากจะสืบสาวราวเรื่องย้อนหลังไปให้ไกล ก็พอที่จะรู้ได้ว่า สงครามการค้าเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯได้ผู้นำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ซึ่งริเริ่มเปิดฉากสงครามการค้าในปี 2018 โดยให้เหตุผลว่า จีนละเมิดและลักลอบทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ อีกทั้งจีนยังตั้งเงื่อนไขกีดกันธุรกิจสหรัฐฯที่จะเข้าไปลงทุนผลิตและค้าขายในตลาดจีน ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐฯยังไม่พอใจแผนพัฒนาระยะยาวของจีนที่เรียกว่าเมด อิน ไชน่า 2025” ที่สำคัญที่สุดคือสหรัฐฯไม่พอใจในยอดขาดดุลการค้ากับจีนในปี 2017 ที่มีมูลค่ามากถึง 375,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งกำแพงภาษี และผลที่ตามมา คือจีนไม่ยอมถอย แต่กลับสู้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีด้วยเช่นกัน

 

 


 

สงครามการค้านี้เอง ที่ทำให้ตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดทองคำปั่นป่วน ขณะที่ทองคำเหมือนจะรับข่าวนี้ในเชิงบวกได้ดีอย่างมาก เพราะสงครามการค้าเป็นความเสี่ยงหลักที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องยุติการคุมเข้มนโยบายการเงินนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและกลับมาเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น สงครามการค้าที่ยืดเยื้อได้เริ่มส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง จนทำให้เกิดความวิตกต่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต โดยช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯเกิดสัญญาณสำคัญ คือ ภาวะ Inverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2017 สร้างความวิตกให้ตลาดเป็นอย่างมากในช่วงนั้น สะท้อนได้จากตลาดหุ้นร่วงระนาว สวนทางกับราคาทองคำที่พุ่งพรวดติดจรวดกันเลยทีเดียว

 

หรือสหรัฐฯ-จีน  จะเตรียมปิดฉากสงครามการค้า?

แต่แล้ว บรรยากาศการลงทุนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง หลังจากสหรัฐฯ-จีน ส่งสัญญาณพักรบชั่วคราว โดยฝั่งสหรัฐฯ ยอมถอยให้จีนด้วยการเลื่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 1 ตุลาคมไปเป็นวันที่ 15 ตุลาคม เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่ดีกับจีน และประธานาธิบดีทรัมป์ ยังออกมาพูดด้วยตนเองต่อหน้าสื่อว่า เขาต้องการทำข้อตกลงฉบับสมบูรณ์กับจีน หรือไม่เช่นนั้นอาจเป็นข้อตกลงชั่วคราวก็ได้เช่นกัน ขณะที่ฝั่งจีนผ่อนปรนให้สหรัฐฯ ด้วยการยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 16 รายการ ออกไป 1 ปี จนถึง วันที่ 16 กันยายนปี 2020 และที่สำคัญรัฐบาลจีนได้ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนให้เอกชนของจีนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงถั่วเหลืองและเนื้อหมู ซึ่งจุดนี้เอง ที่น่าจะทำให้ผู้นำสหรัฐฯพอใจเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้คะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งปีหน้า ของโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาอีกครั้ง

ความหวังเชิงบวกต่อการเจรจ้าการค้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาทองคำให้ร่วงลงในระยะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากทั้ง 2 ประเทศทำข้อตกลงการค้ากันได้เร็วกว่าคาดอาจจะสร้างจุดเปลี่ยนเชิงลบต่อตลาดทองคำ ซึ่งนักลงทุนทองคำต้องระมัดระวัง แต่ตราบใดที่ทั้ง 2 ประเทศ ยังไม่สามารถจะบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันได้ ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนราคาทองคำดังเช่นที่เกิดขึ้นในปีนี้ ดังนั้น นักลงทุนทองคำ จึงยังคงต้องตามกันต่อว่าท้ายที่สุดแล้วสงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงอย่างไร Stay Tuned…

 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3506 วันที่ 19-21 กันยายน 2562

หรือสหรัฐฯ-จีน  จะเตรียมปิดฉากสงครามการค้า?