เปิดพอร์ต“พิชญ์ โพธารามิก” มูลค่ากว่า 3.32 หมื่นล้านบาทถือใน JAS-MONO กุนซือ“ชาญ บูลกุล” ชี้ก.ล.ต.ลงโทษแพ่ง พิชญ์ กรณีอินไซด์ข้อมูล JTS เป็นเรื่องบุคคล คาดไม่เกินสัปดาห์ บอร์ดแต่งตั้งได้คนมาแทน
จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่ง นายพิชญ์ โพธารามิก และนายเกริกไกร ไตรบัญญัติกุล กรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (JTS) ซึ่งเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์รวม 59.10 ล้านบาท โดยนายพิชญ์ เป็นค่าปรับทางแพ่งเป็นเงิน 32,650,173.75 บาท และชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่พึงได้รับเป็นเงินจำนวน 26,120,139 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 58,770,312.75 บาท ส่วนนายเกริกไกร ชำระค่าปรับทางแพ่งเป็นเงินจำนวน 333,333.33 บาท
พิชญ์ โพธารามิก
ทั้งนี้ก.ล.ต.ได้ข้อมูลจากตลท. และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในระหว่างวันที่ 29 กันยายน -12 ตุลาคม 2559 นายพิชญ์ได้ร่วมกับนายเกริกไกรซื้อหุ้น JTS โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายเกริกไกร ก่อนที่จะมีการเปิดเผยงบการเงินไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ที่มีผลกำไร 21.39 ล้านบาท พลิกกลับจากที่มีผลขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ปี 2557 และเป็นข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อราคาหลักทรัพย์ ซึ่งผลกำไรของ JTS ดังกล่าว เกิดจากการที่ JTS ได้รับการว่าจ้างงานจากบมจ.ทริปเปิล ที บรอดแบนด์ (TTTBB) ซึ่งนายพิชญ์ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และยังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ให้นโยบายในการว่าจ้างงานภายในกลุ่มด้วย จึงอยู่ในฐานะที่ล่วงรู้ข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อราคาหลักทรัพย์ของ JTS
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 17 กันยายน บมจ.โมโน เทคโนโลยี (MONO) และบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ได้แจ้งต่อตลท. ว่า ได้รับหนังสือแจ้งการลาออกของนายพิชญ์ โพธารามิก ตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ JAS และตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการ MONO โดยนายพิชญ์แจ้งว่ายังไม่ได้รับทราบในรายละเอียดจากก.ล.ต. แต่เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี จึงขอลาออกจากตำแหน่งมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2562 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดีการที่ “พิชญ์” ต้องพ้นจากกรรมการและผู้บริหารของ JAS และ MONO นั้น นายชาญ บูลกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) ที่ปรึกษาทางการเงินให้กับครอบครัว “โพธารามิก” กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ JAS และ MONO เนื่องจากเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัท ขณะที่พิชญ์เองก็เป็น “เจ้าของ” อยู่แล้ว คาดคณะกรรมการทั้ง 2 บริษัทใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์น่าจะแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาแทนได้
“หลังดำเนินตามโทษปรับทางแพ่งของก.ล.ต. เมื่อพ้นระยะ 3 ปีตามกฎหมาย พิชญ์ก็กลับมาบริหาร ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นที่เจ้าของบริษัทจดทะเบียนถูกก.ล.ต. ดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งในลักษณะเดียวกันก็ไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจ จะมีผลบ้างก็ในแง่ชื่อเสียง ”
ด้านนายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับนายพิชญ์และนายเกริกไกร โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์รวม 59.10 ล้านบาทนั้น หลังจากนี้ ก.ล.ต.ต้องรอให้ผู้กระทำความผิดบันทึกยินยอมการกล่าวโทษและยินยอมชำระค่าปรับทางแพ่งและส่งคืนผลประโยชน์ภายใน 10 วัน นับจากวันที่ 16 กันยายน 2562 หากไม่ยินยอมก.ล.ต.จะนำเรื่องดำเนินการฟ้องศาลเเพ่งต่อไป โดยค่าปรับอาจเพิ่มขึ้นที่อัตราค่าปรับสูงสุด 2 เท่าของค่าปรับในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเตรียมออกประกาศการขาดลักษณะของผู้ที่ขาดความน่าไว้วางใจของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน และต้องพ้นจากตำแหน่งในเร็วๆนี้ โดยมีกรอบระยะเวลาของบทลงโทษดังกล่าวสูงสุดไม่เกิน 3 ปีนี้
พิชญ์ ถือหุ้นใหญ่ JAS สัดส่วน 56.18% และ MONO สัดส่วน 64.85% มูลค่าหุ้นรวม ณ วันที่ 16 กันยายน 2562 ประมาณ 33,230 ล้านบาท
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,506 วันที่ 19-21 กันยายน 2562