กลุ่มธุรกิจพลังงานยักษ์ใหญ่ เกาะติดกระแสยานยนต์ไฟฟ้า ค่าย “ปตท.” ผนึกสตาร์ตอัพจีน หวังใช้ไทยเป็นฐานผลิตอีวีเพื่อขายในประเทศและส่งออก ส่วน “บางจาก” ลงทุนกับบริษัทในอเมริกาศึกษาการทำแบตเตอรี่ พร้อมขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าทุก 100 กม. ด้านค่ายรถ “เอ็มจี” ฟุ้ง ยอดจอง “แซดเอส อีวี” ทะลุ 1,000 คัน
ยุคใหม่ยานยนต์ไฟฟ้ากำลังจะก้าวเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น ดังจะเห็นจากการที่หลายค่ายยื่นบีโอไอเพื่อขอรับการส่งเสริมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการเปิดโรงงานประกอบแบตเตอรี่ในไทยไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า, บีเอ็มดับเบิลยู,เมอร์เซเดส-เบนซ์
นอกจากนั้นแล้วการที่ค่ายเอ็มจี นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าในรุ่น แซดเอส อีวี จากจีนมาจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ และสะท้อนออกมาเป็นยอดขาย 1,000 คันในช่วง 2 เดือน ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการตอบรับของลูกค้าที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า และช่วยกระตุ้นให้ตลาดนี้คึกคักขึ้นมา
“เดิมเราตั้งเป้า 1,000 คันจนถึงสิ้นปี แต่ปรากฏว่า 2 เดือนเราทำยอดจองได้แล้ว 1,000 คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโอกาสทางการตลาดมันมี ดังนั้นเราจึงประเมินใหม่และคาดว่าจนถึงสิ้นปีน่าจะทำยอดได้ 2,000 คัน ขณะที่ยอดส่งมอบนั้นมีกว่า 200 คัน คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะส่งมอบรถให้ครบทุกคัน” นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองประธานกรรมการ บริษัท เอ็มจี เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและว่า
“อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลทำให้รถยนต์ไฟฟ้าขายได้ คือความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับเอ็มจีได้จับมือกับอีเอ ที่ให้บริการสถานีชาร์จไฟ และได้ติดตั้งหัวจ่ายที่โชว์รูมไปแล้ว 19 แห่ง และตั้งเป้าจะขยายให้ครบ 130 โชว์รูมภายในสิ้นปีนี้”
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ไทยถือว่าพร้อมที่สุด ประกอบกับการเป็นฐานผลิตรถยนต์อยู่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตรัฐบาลก็น่าจะให้การสนับสนุนต่อไป รวมไปถึงผู้เล่นอย่าง ปตท. หรือสถานีบริการนํ้ามันรายอื่นๆ และหน่วยงานอย่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง ที่มีแผนขยายจุดชาร์จไฟเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ช่วยกระตุ้นให้ยานยนต์ไฟฟ้าเกิด
ล่าสุดผู้เล่นด้านพลังงานรายใหญ่อย่าง ปตท.ได้ขยับแนวรุกธุรกิจเข้ามาสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการจับมือกับสตาร์ตอัพจีนในนาม WM Motors ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV ) แบรนด์ Weltmeister ที่มียอดขายมากกว่า 1 หมื่นคัน (เป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่มบริษัท EV Startup ในประเทศจีน)
การจับมือกันในครั้งนี้ปตท.ระบุว่าจะร่วมมือกันศึกษาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ด้านต่าง ๆ อาทิ การลงทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ไทยผลิต Localized
Model เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านแบตเตอรี่และผลิตภัณฑ์พลาสติกของกลุ่ม ปตท. รวมไปถึงศึกษาความเป็นไปได้ของ ปตท. ในการเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของ WM Motors โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อีกทั้งยังร่วมมือเพื่อการวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และโครงการอื่นๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับนโยบาย “Thailand 4.0” ของภาครัฐ
การจับมือกับสตาร์ตอัพจากจีน มิใช่รายแรกของปตท. โดยก่อนหน้านั้น ปตท.ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ากับETRANซึ่งเป็นสตาร์ตอัพแบรนด์ไทย เพื่อร่วมศึกษาตลาดรถไฟฟ้าพัฒนาต้นแบบ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปรับปรุงคุณภาพสินค้าและรูปแบบธุรกิจต่างๆรวมทั้งรูปแบบการชาร์จที่จะร่วมสร้างมาตรฐานในการชาร์จ
ถือเป็นการขยับตัวเตรียมความพร้อมรอบด้านเพื่อรองรับกับยานยนต์ไฟฟ้าจากปตท. ซึ่งเดิม ปตท. ได้ประกาศแผนลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่และไฮโดรเจน และสร้างโรงงานแบตเตอรี่ต้นแบบที่สถาบันวิทยสิริเมธี จ.ระยอง เพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และแบตเตอรี่ลิเทียมซัลเฟอร์ ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าปกติ 3 เท่า ซึ่งบริษัทในเครือ ได้แก่ ไทยออยล์, พีทีที โกลบอล เคมิคอล และไออาร์พีซี ได้มีแผนขอซื้อไลเซนส์ในการผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว โดยจะตั้งโรงงานผลิตในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi)
นอกจากนี้ ปตท. ยังเปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า (PTT EV Station) ไปแล้วกว่า 14 แห่ง และพัฒนาเครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบติดผนัง (EV Wall Charger) เพื่อจำหน่ายให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ารายย่อย รวมไปถึงลงนามความร่วมมือกับ 6 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน
เรียกว่าไม่ยอมตกขบวนสำหรับบริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทย และแม้ว่าทิศทางยานยนต์ในอนาคตจะมุ่งเข้าหาไฟฟ้า และส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้ค้านํ้ามัน จนอาจเกิดเป็น
disruption แต่เมื่อดูจากการเตรียมความพร้อมของปตท.แล้วก็ต้องบอกว่าไม่หวั่น เพราะมีแผนรองรับแบบเต็มสูบ
เช่นเดียวกับบริษัทพลังงานอีกรายอย่าง บางจาก โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์รายงานว่าบางจากได้เข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพของสหรัฐอเมริกา ในชื่อ “เอนเนเวท” ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตลิเทียมแบตเตอรี่สำหรับใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า สามารถรองรับการชาร์จพลังงานได้รวดเร็วขึ้น 10 เท่า ซึ่งคาดว่าบางจากจะต่อยอดเทคโนโลยีดังกล่าวมาทำเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบควิกชาร์จ ให้รวดเร็วเทียบเท่ากับการเติมนํ้ามัน
นอกจากนี้ยังมีแผนการลงทุนร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าในสถานีบริการบางจาก ทุกๆ 100 กิโลเมตร ตามถนนสายหลักรวม 62 สถานี ภายในปี 2021
ขณะที่ผู้เล่นหลักในธุรกิจให้บริการชาร์จไฟอย่าง EA Anywhere บริษัทพลังงาน บริสุทธิ์ฯ ก็เดินหน้าขยายจุดชาร์จไฟ จากปัจจุบันมีจำนวน 380 แห่ง และภายในสิ้นปีจะติดตั้งอีก 190 แห่ง แต่หากนับเป็นจำนวนหัวจ่ายทั้งหมดที่ให้บริการก็จะมีกว่า 680 หัวจ่าย นอกจากนั้นแล้วอีเอ ยังมีการจับมือกับพันธมิตรอีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น เซเว่น อีเลฟเว่น 21 สาขา, ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน , ศูนย์บริการรถยนต์ A.C.T. และ Cockpit,อินซ์เคป ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์และจากัวร์ในประเทศไทย
“กระแสการตอบรับรถยนต์ไฟฟ้ามีมากขึ้น ในส่วนของสถานีชาร์จไฟหากเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเติมแต่ละครั้งกับพลังงานอื่นๆ นั้นถือว่าถูกกว่า ประกอบกับค่ายรถมีการเปิดตัวรถไฟฟ้า จึงช่วยกระตุ้นและทำให้คนตัดสินใจซื้อเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น”นายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์กรรม การผู้จัดการ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ในเครือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EAกล่าว
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,505 วันที่ 15 - 18 กันยายน พ.ศ. 2562