‘หมอวรงค์’ ช็อค “บุญทรง” ติดคุกเพิ่ม!!
คดีพลิก! หมอวรงค์ ยอมรับ ช็อคไม่คาดว่าศาลจะเพิ่มโทษจำคุก อย่างมากแค่ยืนพื้นโทษเดิม แต่เมื่อศาลตัดสินก็เคารพการตัดสินใจและถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ชี้คดีข้าวจีทูจีเป็นอุทาหรณ์ทั้งนักการเมือง-ประชาชน ย้ำ 3 เสาหลักยังเป็นทางออกของประเทศได้ในท้ายที่สุด
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านศาลฎีกา สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คนชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ในคดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว และพวกรวม 28 คน คดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เพื่อเตรียมรอฟังการอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ที่จะเริ่มอ่านในเวลา 12.00 น. โดยศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษา 7 ชั่วโมงเสร็จสิ้น 19.00 น. ผลคำพิพากษาแก้ จำคุกนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 2 เพิ่มอีกกระทงหนึ่งเป็นเวลา 6 ปี รวมโทษจำคุกนายบุญทรงจากโทษเดิม 42 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 48 ปี
ต่อกรณีดังกล่าวนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ผมโอเค ใจผมอยากให้กระบวนการยุติธรรมเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ยิ่งได้รับสิทธิในการอุทธรณ์ ระบบอัยการก็อุทธรณ์ ตอนที่ผมลุ้นไม่ว่าจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ผมเคารพการตัดสินหมด เพราะถือว่านี่คือกระบวนการยุติธรรม ไม่คาดคิดว่าจะติดคุกเพิ่ม คิดแค่ว่าจะยืนเหมือนเดิมหรือลดน้อยลงด้วยซ้ำไป เพราะเท่าที่ผมทราบจากอัยการมีบางสัญญาที่ครั้งที่แล้วได้ประโยชน์ แต่ถ้าออกมาในรูปแบบนี้ผมก็รู้สึกโอเคในหลักการ แล้วก็ถือว่าคดีนี้จบแล้วสิ้นสุดแล้ว
“ผมอยากให้ประเทศตัวตัดสินเป็นระบบนิติรัฐ ระบบนิติธรรม และระบบศาล จะต้องเป็นเสาหลักของประเทศ แม้แต่ศาลจะลดโทษผมก็ไม่ว่าอะไร หรือศาลจะเพิ่มโทษก็รู้สึกเฉยไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะนี่คือประเทศ จะต้องอยู่ได้ด้วยกระบวนการเหล่านี้”
นพ.วรงค์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ชัดเจนมากเรื่องการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะใช้นโยบายที่หาเสียงสำหรับคนจนโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรเป็นตัวประกัน มองดูก็ทราบว่ากระบวนการทุจริตที่แฝงเร้น นี่คืออุทาหรณ์ แก่ประชาชนคนไทยต่อนโยบายของรัฐบาล ที่ตั้งใจมาทุจริต เพราะนอกจากฝ่ายการเมืองทุจริต การทุจริตจะแพร่ระบาดไปทุกลำดับชั้น ยากแก่การป้องกันและเอาผิด เมื่อหัวตั้งใจมาโกง ก็ต้องเปิดโอกาส ให้ทุกฝ่ายโกงเพื่อสร้างความเป็นพวก แล้วประเทศจะเหลืออะไร
อย่างไรก็ดีคดีทุจริตรับจำนำข้าวในระดับปฎิบัติการเป็นการสมยอมร่วมกันของทุกฝ่าย ทั้งโรงสีผู้ส่งข้าว เซอร์เวเยอร์ที่ตรวจรับคุณภาพข้าว เจ้าของโกดัง และเจ้าหน้าที่รัฐประจำโกดัง ที่แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน แน่นอนสำนวนคดีเหล่านี้จึงทำสำนวนอ่อนและถูกยกฟ้องได้ง่ายเพื่อให้ทุกฝ่ายรอด และคดีเหล่านี้ศาลฎีกานักการเมือง ก็ไม่ได้เอามาเป็นความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ เพราะเป็นเรื่องระดับปฏิบัติ จึงไม่แปลกอะไรที่ศาลจะยกฟ้องจำนวนมากนั้น
“อาทิ ข้าวเหลือง มีนั่งร้านซุก เวียนเทียนข้าว คดีเหล่านี้มีโอกาสถูกยกฟ้อง ไม่แปลกใจ เป็นการทุจริตร่วมกัน เมื่อหัวโกง ข้างล่างก็โกง เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผ่านมาผมพยายามจะนำข้อเท็จจริงมาอธิบาย แล้วให้ความรู้แก่ประชาชนจะได้ตามสถานการณ์ได้ทัน ที่สำคัญผมอยากให้ประเทศมีหลัก 3 เสาหลัก ก็คือ นิติธรรม นิติรัฐ และระบบศาล”