เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสไปนั่งฟัง “นางหยาง หยาง” ที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง สถานทูตจีนประจำประเทศไทย สตรีร่างเล็กชาวจีนศิษย์เก่าจุฬาฯ และผ่านงานมาแล้วในสถานทูตจีนในหลายประเทศ ตอนนี้อยู่สถานทูตจีนประจำประเทศไทยสิ่งที่เธอทำได้ดีคือการ “พูดภาษาไทย” เพราะต้องผ่านคอร์สเรียนภาษาของสถานทูตจีนประจำประเทศไทย มาทำงานที่ไทยต้องเรียนภาษาไทย
หยาง หยาง
งานที่ที่ปรึกษาหยาง หยาง พูดเป็นภาษาไทยเป็นการเปิด “โครงการมองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่เริ่มต้นด้วยการฉายภาพให้เห็น “วันชาติจีน” ซึ่งตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม ปีนี้ประเทศจีนจะครบ 70 ปี การสถาปนาการเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างยิ่งใหญ่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง เธอเปรียบเปรยว่า “70 ปี สำหรับคนธรรมดาถือว่านานพอสมควร ส่วน 70 ปีสำหรับประเทศนั้นถือว่าเริ่มต้นพัฒนามาแข็งแรงหน่อย”
จากนั้นเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงการเติบโตของจีน นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 ที่เริ่มเปิดประเทศ ตอนนั้น GDP แค่ 2.8 แสนล้าดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ปี ค.ศ. 2018 เพิ่มเป็น 13.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2 ใน 3 ของอเมริกา เป็น 2.8 เท่าของญี่ปุ่น สัดส่วน 11.1% ของเศรษฐกิจโลก และ GPD เฉลี่ยต่อหัว 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งแต่ปี 2013-2018 จีนมีส่วนช่วยความเติบโตของเศรษฐกิจโลก สัดส่วนสูงเฉลี่ย 28.1%
จีนมีความเป็นเบอร์ 1 ของโลกหลายด้าน ทางด่วนรวมระยะทางกว่า 1.4 แสนกิโลเมตร มีรถยนต์ส่วนตัว 200 ล้านคัน มีสินค้าแบรนด์จีนด้านโทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟนหลายยี่ห้อ มีบริษัทของจีน 120 บริษัท ติดอันดับ 500 บริษัทของโลกเยอะกว่าอเมริกา และขจัดความยากจนของประชาชนจีนโดยสิ้นเชิง
พอฉายภาพด้านเศรษฐกิจให้เห็นแล้ว “หยาง หยาง” เริ่มแตะประเด็น “สงครามการค้า” เธอเล่าว่า มีคนถามว่าจีนโดนกระทบไหม จีนไหวไหม คนถามเกือบทุกวัน อยากพูดอย่างชัดเจนว่า “ประเทศจีนไม่ยอมทำสงครามกับใครใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ยอมทำสงครามการค้าที่อเมริกาบังคับให้กับเรา เพราะว่าท่าทีของเราชัดเจน สงครามการค้าไม่มีฝ่ายใดชนะเลย แต่เราขอยํ้าอีกทีหนึ่งคือ เราไม่กลัว นี่คือท่าทีของจีน” เรายอมรับว่าเราได้รับผลกระทบ เพราะว่าเศรษฐกิจโลกก็โดน อเมริกาก็โดนเองด้วย
“อยากจะพูดกับเพื่อนคนไทยว่าเศรษฐกิจจีนยังไหว เพราะความจริงตลอดทั้งปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าจีนไม่ยอมล้ม”
ในตอนท้าย ที่ปรึกษาฯ หยาง หยาง เล่าถึงการเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุน รวมทั้งมีซูเปอร์มาร์เก็ตของอเมริกาเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงว่าจีนเราได้เปิดประเทศให้นักลงทุนทุกคน รวมทั้งบริษัทอเมริกา แม้ภายใต้สงครามการค้า เรายินดีให้นักลงทุนทุกคนมาขายสินค้าอันดีที่จีน แสดงว่ามีคนจำนวนมากยังมองดีกับอนาคตของเศรษฐกิจจีน แสดงว่าพวกเขาไม่ยอมทอดทิ้งเศรษฐกิจมโหฬารของจีน รวมทั้งอเมริกาที่ไม่ยอมปล่อยตลาดจีน
“สงครามการค้าไม่ใช่ฝ่ายจีนเป็นฝ่ายริเริ่มและจะไม่ยอมทำสงครามกับใครทั้งสิ้น และฝ่ายอเมริกาเป็นฝ่ายริเริ่ม ฝ่ายอเมริกาเป็นฝ่ายที่พยายามขยายขอบเขตของสงครามการค้าด้วย ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของอเมริกาต้องประสบภัยด้วย อาจจะตกอยู่ในภาวะอันตรายของเศรษฐกิจของเขาเอง ...ขอบอกว่าเราไม่ได้ปิดประตูการเจรจากับอเมริกา แต่ท่าทีของจีนยังชัดเจนตลอด การเจรจาต้องดำเนินบนพื้นฐานการเคารพผลประโยชน์ที่แท้จริงซึ่งกันและกัน จึงจะดำเนินได้ นี่คือท่าทีของจีน”
ผมฟังจบ ก็ปรบมือให้เกียรติ และก็มั่นใจว่าที่ปรึกษาหยางหยาง รู้ดีว่านี่คือเวทีของสมาคมนักข่าว คนฟังทั้งห้อง 99% คือนักข่าว จึงไม่แปลกใจกับแต่ละข้อความที่ต้องการสื่อออกมา เพื่อต้องการจะเป็นข่าว
คอลัมน์ อินไซด์สนามข่าว โดย จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3502 วันที่ 5-7 กันยายน 2562