ไทยจับมือเกาหลีกระชับมิตรร่วมพัฒนาบริหารจัดการน้ำ

ไทย-เกาหลีใต้กระชับความสัมพันธ์สองประเทศ ร่วมลงนามเอ็มโอยู ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พร้อมเรียนรู้เทคโนโลยีทันสมัยสร้างระบบการจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 

วันนี้ (2 กันยายน 2562) นายสมเกียรติ  ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กับ นางคัง คยอง-ฮวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี ณ ทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสที่นายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อกระชับความร่วมมือหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ในมิติต่าง ๆ และส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยการลงนามฯ ครั้งนี้

เป็นความร่วมมือระหว่าง สทนช. แห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เพื่อเสริมสร้างให้ ทั้งสองประเทศเกิดความร่วมมือกันในสาขาการพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยคำนึงถึงการมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในด้านต่าง ๆ ทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่  1.นโยบายด้านทรัพยากรน้ำที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 2, เครื่องมืออำนวยความสะดวกด้านน้ำที่ตอบสนองต่อแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทย

3, ระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างชาญฉลาดด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อที่จะสร้างระบบข้อมูลด้านน้ำอย่างบูรณาการ 4,การบริหารจัดการระบบจัดสรรน้ำสำหรับน้ำเพื่อการบริโภค อุตสาหกรรม การเกษตร และการนำน้ำทะเลมาทำเป็นน้ำจืด 5,การบริหารจัดการคุณภาพน้ำและระบบนิเวศน้ำจืด และ 6) เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำที่ทันสมัยและพลังงานหมุนเวียน

“เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการนำเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ การลงนามฯ ในครั้งนี้ จึงจะช่วยให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ด้านระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศและการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับนโยบายสู่แผนปฏิบัติ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

ทั้งนี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่หลากหลาย ทั้งความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งไทยจะสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการน้ำของประเทศได้ โดยขอบเขตของความร่วมมือครั้งนี้ จะดำเนินการในรูปแบบของการศึกษาร่วม หรือวิจัยร่วม การพัฒนาเทคโนโลยี การให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิค การแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ การแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อการฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนการดูงาน รวมทั้งการสัมมนา และการประชุมในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน การแลกเปลี่ยนข้อมูล และเอกสารสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาความร่วมมือดังกล่าวข้างต้น ไปจนถึงความร่วมมือรูปแบบอื่น ๆ ที่ผู้เข้าร่วมเห็นชอบร่วมกัน