สัญญาณเชิงบวก? จีนผ่อนคลายท่าทีในสงครามการค้า

02 ก.ย. 2562 | 06:46 น.

“ขณะนี้สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับจีนคือการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯและยุติการลุกฮือประท้วงของประชาชนในฮ่องกง” เบกกี้ หลิว นักวิเคราะห์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐฯเมื่อเร็วๆนี้ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การเสียหน้าหรือความรู้สึกว่าแพ้ เป็นเรื่องสำคัญในสังคมเอเชีย แต่ท่ามกลางบริบทที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทำให้เชื่อว่า ในวาระที่การเฉลิมฉลองการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนครบรอบ 70 ปีกำลังจะเวียนมาถึงในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งก็เป็นวันที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกระลอกหลังจากที่เพิ่งขึ้นไปแล้วครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา  รัฐบาลจีนจะยอมผ่อนปรนท่าทีและไม่ได้คำนึงว่ามันอาจจะถูกมองว่าเป็นการยอมแพ้หรือเป็นการเสียหน้ามากนัก

สัญญาณเชิงบวก? จีนผ่อนคลายท่าทีในสงครามการค้า

นักวิเคราะห์จากธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ให้ความเห็นว่า วันที่ 1 ตุลาคมซึ่งถือเป็นวันชาติของจีน เป็นวันสำคัญที่แสดงถึงแสนยานุภาพและความเป็นปึกแผ่นของจีน  แต่ในปีนี้การเฉลิมฉลองวันชาติจะเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่ยุ่งยาก จีนกำลังเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อหาทางยุติสงครามการค้า ทั้งยังมีความโกลาหลอลหม่านในฮ่องกงที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่า ผู้นำของจีนจะให้ความสำคัญกับการคลี่คลายปัญหาทั้งสองด้านที่เผชิญอยู่นี้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงการ รักษาหน้าตามากนัก แม้ว่าเรื่องของการไม่ยอม เสียหน้าจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับจีนและหลายๆประเทศในเอเชียก็ตาม


 

สัญญาณเชิงบวก? จีนผ่อนคลายท่าทีในสงครามการค้า

“ถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือจีนต้องการระบายความตึงเครียดออกไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดกับสหรัฐฯหรือความวุ่นวายในฮ่องกง” นักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เชื่อว่า อย่างน้อยจีนก็ต้องการที่จะประคองสถานการณ์ไม่ให้ความขัดแย้งที่มีกับสหรัฐฯย่ำแย่ไปกว่าระดับที่เป็นอยู่

 

สะท้อนได้ชัดจากการที่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาระบุว่า จีนยินดีที่จะคลี่คลายสงครามการค้าด้วยสันติวิธี และจะไม่ตอบโต้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯในทันที  เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 ก.ย.) เมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15% วงเงินรวมราว 112,000 ล้านดอลลาร์ จีนก็ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯเช่นกัน (ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง สินค้าเกษตร และน้ำมันดิบ) โดยเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราระหว่าง 5-10% แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนเพียงราวๆ 1 ใน 3 ของสินค้าอเมริกันทั้งหมดกว่า 5,000 รายการที่จีนมีแผนจะเก็บภาษีเพิ่ม นักวิเคราะห์ตีความว่า นี่เป็นท่าทีที่อ่อนลงของจีน  และไม่เพียงเท่านั้น การขึ้นภาษีชิ้นส่วนประกอบและรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐฯ จีนยังประวิงเวลาออกไป โดยจะยังไม่ปรับขึ้นก่อนวันที่ 15 ธันวาคมศกนี้ ขณะเดียวกัน จีนไม่ได้ปฏิเสธกำหนดการเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะมีขึ้นในเดือนกันยายนที่กรุงวอชิงตันดีซีด้วย     

 

อย่างไรก็ตาม สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เตือนว่า ยังคงมีความเสี่ยงอยู่มากเมื่อพูดถึงการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ  โดยในระยะกลางถึงระยะยาว โอกาสที่จะได้เห็นการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายในยุคของรัฐบาลปัจจุบันของสหรัฐฯ (ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงปลายปี 2563)  มีความเป็นไปได้น้อยลงโดยจะเห็นได้ว่า จีนเริ่มปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนลงอีกแล้วเมี่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ส่วนประเด็นของฮ่องกงนั้น เชื่อว่าจีนพยายามให้คลี่คลายได้ด้วยรัฐบาลของฮ่องกงเอง แม้ว่าในระยะหลังๆ จีนจะส่งสัญญาณออกมาหลายครั้งว่า พร้อมจะเข้าแทรกแซงหากสถานการณ์บานปลาย แต่นั่นก็จะเป็นทางเลือกท้ายๆ หรือเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เพราะเมื่อครั้งที่รัฐบาลจีนใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 ครั้งนั้นจีนถูกสหรัฐฯคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นเวลายาวนาน ดังนั้น เชื่อว่ารัฐบาลจีนไม่ต้องการซ้ำรอยบทเรียนที่เคยมี นอกเสียจากว่าจะถึงคราวจำเป็นจริงๆเท่านั้น