แอปเปิ้ลฯจุกอก สินค้าหลายรายการเจอภาษีใหม่ 15%

02 ก.ย. 2562 | 01:39 น.

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เข้าสู่อีกระดับของความร้อนแรงในวันที่ 1 กันยายน 2562 เมื่อสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 15% จากเดิม 10% ครอบคลุมสินค้านำเข้าจำนวนมากโดยส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น อุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เสื้อผ้าและรองเท้า วงเงินรวมราวๆ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้กลุ่มองค์กรผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯในนาม “สมาคมคอนซูมเมอร์เทค” (Consumer Tech Association: CTA) ที่มีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯจำนวน 2,000 ราย รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ล, แอลจี, วอลมาร์ท และเบสท์บาย  ต้องออกมาแจ้งเตือนไปยังผู้บริโภคในสหรัฐฯว่า มาตรการของภาครัฐจะส่งผลกระทบต่อสินค้านำเข้าจากจีน ทำให้ต้องปรับราคาขายสูงขึ้นหลายรายการ ซึ่งอาจจะเห็นผลชัดในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งราวๆเดือนพฤศจิกายน

นาฬิกาแอปเปิ้ลสมาร์ทวอทช์ และหูฟังแอร์พ็อด เป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบเต็มๆจากกำแพงภาษีรอบใหม่

 “คุณอาจยังไม่เห็นราคาขายที่สูงขึ้นหลังจากที่อัตราภาษีใหม่เริ่มมีผลในวันที่ 1 กันยายน แต่จะเริ่มเห็นในช่วงเทศกาลแบล๊คฟรายเดย์ (กิจกรรมการลดราคาสินค้าครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีในสหรัฐฯ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วคือวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า ตรงกับเดือนพฤศจิกายน) ฉะนั้น ถ้าอยากได้โทรทัศน์เครื่องใหม่ ก็ควรรีบซื้อซะตั้งแต่ตอนนี้” โฆษกของซีทีเอกล่าว และว่า นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นมา ซึ่งสหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าจากจีนอัตราสูงขึ้นรอบแรก (ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์) อุตสาหกรรมของสหรัฐฯเองก็ได้รับความเสียหายไปแล้วจากภาษีที่ต้องจ่ายสูงขึ้น 10,000 ล้านดอลลาร์ แต่การขึ้นภาษีรอบใหม่ล่าสุดนี้จะกระทบสินค้าสำเร็จรูปมากขึ้น เช่นนาฬิกาสมาร์ทวอทช์  อุปกรณ์ตรวจวัดดัชนีต่างๆของร่างกายขณะออกกำลังกาย (fitness trackers) คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป กล้องดิจิตอล และแบตเตอรี่ลิเธียม  ซีทีเอประมาณการว่า ในวันที่ 1 ก.ย.เมื่ออัตราภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ สินค้าที่ได้รับผลกระทบจะมีมูลค่าสูงถึง 52,000 ล้านดอลลาร์ 


 

ก่อนหน้านี้นายทิม คุก ซีอีโอแอปเปิ้ล เคยเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับผลกระทบที่บริษัทจะได้รับจากสงครามการค้า

แม้แต่แอปเปิ้ล อิงค์ ที่เป็นบริษัทอเมริกันเองก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลในครั้งนี้ เนื่องจากแอปเปิ้ลฯ เป็นหนึ่งในบริษัทสินค้าไฮเทคชั้นนำของสหรัฐฯที่เข้าไปตั้งโรงงานประกอบสินค้าขั้นสุดท้ายในประเทศจีนจากนั้นก็ส่งออกกลับมายังตลาดสหรัฐฯทำให้ต้องได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีที่สูงขึ้นไปด้วย โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษี 15% นั้นรวมถึง หูฟังแอร์พ็อดส์ (AirPods) และนาฬิกาแอปเปิ้ลวอทช์ (Apple Watch) ซึ่งเป็นสินค้าขายดีและอยู่ในกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตของยอดขายรวดเร็วที่สุดของแอปเปิ้ล  นักวิเคราะห์ยังระบุว่า ลำโพงโฮมพ็อด (HomePod)และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไอแมค (iMac) เป็นสินค้าอีกกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีรอบใหม่ล่าสุด แต่โฆษกของแอปเปิ้ลยังไม่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้

 

มีผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่เป็นผู้ผลิตและผู้นำเข้า ที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (1 ก.ย.) แต่แอปเปิ้ล ถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในฐานะบริษัทสินค้าอิเล็กทรอกนิกส์ของสหรัฐฯเองที่โดนลูกหลงเข้าไปเต็มๆจากสงครามการค้าครั้งนี้  จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นของแอปเปิ้ลวูบๆวาบๆทุกครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาทวิตความคิดเห็นเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้าจีน


 

เครือข่ายห่วงโซ่การผลิตของแอปเปิ้ลส่วนใหญ่อยู่ในจีน

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เครือข่ายห่วงโซ่การผลิตสินค้าของแอปเปิ้ลที่เปรียบเสมือน เส้นเลือด ที่หล่อเลี้ยงผลิตภัณฑ์สินค้าของบริษัท ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน เช่น โรงงานของฟ็อกซ์คอนน์ ที่จ้างแรงงานในจีนอยู่ถึง 1.4 ล้านคน นอกจากนี้ จีนยังเป็นตลาดใหญ่ที่ทำยอดขายให้กับสินค้าของแอปเปิ้ลอีกด้วย 

 

ผู้บริหารของแอปเปิ้ลเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้ทำจดหมายอย่างเป็นทางการถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้แจงว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนซึ่งแบ่งเป็น 2 รอบ คือ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค.  จะส่งผลครอบคลุมสินค้าหลักๆของแอปเปิ้ลทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอแพ็ด คอมพิวเตอร์แมค  แอร์พ็อด และแอปเปิ้ล ทีวี  ซึ่งคาดว่าการเสียภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้บริษัททำรายได้ลดลงและมีส่วนสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจสหรัฐฯลดน้อยลง

 

 นักวิเคราะห์จากวาณิชธนกิจ เจพี มอร์แกน เปิดเผยว่า สถานการณ์เช่นนี้จะบีบบังคับให้แอปเปิ้ลพยายามดูดซับต้นทุนนำเข้าที่สูงขึ้นเอาไว้เองมากกว่าที่จะผลักภาระให้กับผู้บริโภคในรูปราคาขายที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่สูงขึ้นราว 500 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอปเปิ้ล ได้เข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์และชี้แจงเกี่ยวกับผลกระทบรอบด้านในเรื่องนี้แล้ว  สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จนถึงขณะนี้ สินค้าของแอปเปิ้ล 19 รายการเข้าข่ายต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูงขึ้น แต่บริษัทยังตรึงราคาขายสินค้าเหล่านี้เอาไว้  ไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด