ชาวนาได้อะไร? จากโครงการประกันรายได้

20 ส.ค. 2562 | 09:00 น.

21สิงหาคม 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้นัดประชุม เพื่อดำเนินนโยบายตามที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 กำหนดนโยบายเร่งด่วนเรื่องที่ 4 การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรมกำหนดเป้าหมายรายได้เกษตรกรให้สามารถมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพในสินค้าเกษตรสำคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย และข้าวโพด ด้วยการชดเชยการประกันรายได้ ส่งเสริมระบบประกันภัยสินค้าเกษตรหรือเครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางวินัยการเงินการคลังของภาครัฐในระยะยาว

ชาวนาได้อะไร? จากโครงการประกันรายได้

ผู้สื่อข่าว “ฐานเศรษฐกิจ” ได้ตรวจสอบการซื้อขายราคาข้าวเปลือกทั่วประเทศจากสมาคมโรงสีข้าวไทย  ณ วันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า ข้าวเปลือกหอมมะลิที่โรงสีรับซื้ออยู่ ราคาโดยเฉลี่ย 15,800-18,200 บาทต่อตัน สูงกว่าราคาที่รัฐประกันรายได้ 500-3,200 บาทต่อตัน  ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 1 ราคาตลาด 10,500-11,000 บาทต่อตัน ส่วนราคาข้าวเปลือกเหนียว อยู่ที่ 18,500-20,000 บาทต่อตัน สูงกว่าราคาประกัน 6,500-8,000 บาทต่อตัน ยกเว้นข้าวเปลือกเจ้าชนิดเดียวที่ต่ำกว่าราคาประกัน ในตลาดทั่วไปชาวนาขายได้ 7,700-8,300 บาทต่อตัน ขณะที่ราคาประกันอยู่ที่ 1 หมื่นบาท ส่วนราคาข้าวเปลือกหอมจังหวัดขณะนี้ไม่มีซื้อขายในตลาด 

ชาวนาได้อะไร? จากโครงการประกันรายได้

 

อย่างไรก็ดีผลประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานวันที่ 21 สิงหาคมได้มีมติเห็นชอบการประกันรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีโดยการประกันราคาข้าวในฤดูการผลิตปี 2562/2563  วงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท คาดจะมีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเข้าร่วมโครงการประมาณ 3.9 ล้านครัวเรือน

ชาวนาได้อะไร? จากโครงการประกันรายได้

ทั้งนี้จะการประกันรายได้ข้าวเปลือก 5 ชนิด ได้แก่ 1.ข้าวเปลือกเจ้าที่ราคาตันละ 10,000 บาท 2.ข้าวเปลือกหอมมะลิที่ตันละ 15,000 บาท 3.ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีตันละ 11,000 บาท 4.ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่(ข้าวหอมจังหวัด) ตันละ 14,000 บาท และ 5.ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 บาทต่อตัน โดยการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงในการทำโครงการประกันรายได้ราคาข้าวนั้นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการโดยขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรหลังทำการเพาะปลูกข้าว 15-60 วัน โดยภูมิภาคอื่น ๆ จะเริ่มต้นในวันที่ 1 เมษายน 2562 ถึง 31 ตุลาคม 2562 ส่วนภาคใต้จะเริ่มวันที่ 16 มิถุนายน 2562 – 28 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งมติ ของ นบข.ในการประกันรายได้ข้าวครั้งนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโดยเร็ว  เป็นความหวังเงินประกันรายได้ข้าวกำลังจะหมุนไปหาชาวนาตัวจริงในเร็ววัน และช่วยให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น