เอเยนต์จีนผวาลูกค้าลดวูบ คอนโดไทยสูงกว่าตลาด30%

19 ส.ค. 2562 | 05:30 น.

 

โบรกเกอร์จีนรายใหญ่ “แองเจิล” เผยแนวโน้มลูกค้าซื้ออสังหาฯไทยลด เหตุราคาคอนโดฯปรับขึ้นสูงเกินจริง 20-30% ผลตอบแทนตํ่า แนะเปิดช่องให้เช่าระยะสั้นเพื่อสร้างรายได้

ธุรกิจคอนโดมิเนียมที่เคยเฟื่องฟูอย่างมากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีตลาดลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีน เป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนตลาดคอนโดมิเนียมเติบโต สำหรับในกรุงเทพมหานครสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2561 มียอดการเปิดขายโครงการใหม่มากถึง 66,021 ยูนิต แต่ในปี 2562 สถานการณ์ตลาดตรงข้ามกับปีก่อน จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและในประเทศเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซํ้าด้วยมาตรการควบคุมสินเชื่อบ้าน LTV วงการอสังหาริมทรัพย์ประเมินการเปิดตัวโครงการคอนโด มิเนียมใหม่ๆ จะลดน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะช่วงครึ่งปีแรกรายใหญ่ในตลาดมัวสาละวนกับการระบายสต๊อก ทั้งนี้ มาตรการ LTV เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขาย โดยเฉพาะโควตาต่างประเทศ ซึ่งเป็นโบรกเกอร์รายใหญ่ที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย กล่าวถึงทิศทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของผู้ซื้อต่างชาติว่า ปีนี้ความสนใจลงทุนจะลดลงจากช่วง 2-3 ปี เนื่องจากผลตอบแทนและผลกำไรที่นักลงทุนคาดหวังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยลดลง อย่างแรกเลยคือกำไรจากการค้าขายอสังหาริมทรัพย์ และกำไรจากการปล่อยเช่าระยะยาว โดยเฉพาะชาวจีน ที่เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดที่เลือกลง
ทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ทั้งนี้ เบนไปลงทุนที่ญี่ปุ่น กัมพูชา และตุรกี อย่างไรก็ตาม ชาวจีนยังไม่ทิ้งตลาดอสังหาฯประเทศไทย

ขณะนี้ตลาดอสังหาฯของไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทั้งสงครามการค้า, เงินบาทแข็งตัว, เงินหยวนอ่อน รวมถึงกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกง และปัจจัยภายในที่สินค้าประเภทคอนโดฯของประเทศไทยเปิดตัวเป็นจำนวนมากตลอดระยะเวลา 2 ปี จนเกิดภาวะล้นตลาด ด้านราคาขายมีการตั้งราคาสูงกว่าตลาด (Over Price) ทำให้ Capital gain ได้ไม่ถึง 20% ผลกำไรจากการเช่า (Yield) เหลือเพียง 3-4% เท่านั้น ทำให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาหดตัวลงอย่างชัดเจน ทำให้ในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ จะเป็นการชะลอตัวและถดถอยอย่างแท้จริง ดีเวลอปเปอร์ต้องปรับตัว เนื่องจากยอดขาย-โอน ลดลงทั้งกลุ่มลูกค้าไทย-ตปท. ส่งผลให้การเปิดโครงการน้อยลง

การดึงนักลงทุนต่างประเทศให้หันกลับมามองประเทศไทยได้ ต้องปรับใน 3 จุดคือ กฎหมายไทยควรเปิดให้นำห้องชุดที่ซื้อลงทุนทำธุรกิจเช่าแบบระยะสั้น เหมือนประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ตุรกี ไซปรัส กรีก และกลุ่มประเทศทางยุโรป อื่นๆ สามารถประกอบกิจการธุรกิจเช่าแบบระยะสั้น ซึ่งทำให้เงินจากนักลงทุนเริ่มจะหลั่งไหลไปสู่ประเทศที่มีการอนุญาตให้ประกอบกิจการ เพราะมองว่าให้ผลกำไรที่ดีกว่าการปล่อยเช่าแบบระยะยาว อาทิ ญี่ปุ่น ซึ่งธุรกิจปล่อยเช่าระยะสั้น อนุญาตให้สามารถประกอบกิจการได้ เป็นอย่างมาก การบริหารจัดการนั้น ญี่ปุ่นมีการจัดโซนสาหรับการปล่อยเช่าที่พัก อาทิ ในโตเกียวทางตอนใต้ที่อนุญาตให้ปล่อยเช่าที่พักระยะสั้นสูงสุด 180 วัน และที่พักระยะยาวสูงสุด 180 วัน พื้นที่ส่วนต่างๆ อาทิ โอซากา อนุญาตให้สามารถประกอบธุรกิจที่พักแบบระยะสั้นสูงสุด 365 วัน ส่วนประเทศอื่น อาทิ ตุรกี เองก็มีนโยบายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนของต่างชาติ กรณีที่ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคา 8 ล้านบาท จะได้หนังสือเดินทางตุรกี

หากจุดแรกสามารถแก้ไขได้ จะทำให้นักลงทุนมีกำไรจากการปล่อยเช่า ส่วนอีก 2 จุดที่ต้องปรับคือราคาที่สูงเกินตลาด กับการเปิดโครงการมากๆ ของผู้ประกอบการ ที่ทำให้สินค้ามีจำนวนมาก ซึ่งกระทบต่อราคาขายต่อรวมถึงกำไรจากการขายอสังหาฯ

ปัจจุบันมี 3 โครงการที่สามารถทำยอดขายได้ดี 1.โครง
การรีเจ้นท์ บางซ่อน ราคา 9.9 แสนบาทต่อยูนิต โครงการอื่น
ที่ใกล้กันมีราคาสูงกว่า 2.แชปเตอร์ เจริญนคร ราคาขาย 1.7 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะที่โครงการอื่นริมแม่นํ้าเจ้าพระยาอยู่ที่กว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตร และ 3.ไซมิส พระราม 9 ราคา 1.05 แสนบาทต่อตารางเมตร

สำหรับแองเจิลฯ ในปีนี้คาดว่าจะขายได้กว่า 1,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งนี้คาดหมายจะปิดที่ 1,500 ยูนิต ขณะที่ปี 2561 ขายได้ 3,200 ยูนิต

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3497 วันที่ 18-21 สิงหาคม 2562

เอเยนต์จีนผวาลูกค้าลดวูบ  คอนโดไทยสูงกว่าตลาด30%