สำหรับ “มือใหม่หัดขับ” ที่ติดตามการแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คงได้เห็นบรรยากาศการอภิปรายอันดุเดือดเผ็ดมันของนักการเมือง และคงคิดว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งเป็นเป้าหมายโจมตี ฝ่ายค้านคงจะฝ่าด่านนักการเมืองไปได้อีกไม่นาน
ด่านแรกนี้ ถือเป็นบททดสอบที่เข้มข้นในรอบ 5 ปีของรัฐบาลใหม่ ซึ่งแม้จะมีคนหน้าเดิมๆ เข้ามาทำหน้าที่ และยังทำให้ท่านผู้นำที่คุ้นชินกับอำนาจมีอาการปรี๊ดแตก “นอตหลุด” เป็นระยะ จน “แม่ยก” เป็นห่วงว่าเจอการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จุดเป็นจุดตายเมื่อไหร่?มีหวังไปไม่ไหวแน่ แต่ “ทุกอย่าง” ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย...
หักด่าน “ศึกอภิปราย” สำเร็จ ก็หวังว่ารัฐบาลจะบริหารประเทศไปโลดนะครับ ในฐานะเป็นผู้ชมข้างเวที รวมทั้งไม่ใช่ผู้แสดง แต่ด้วยความที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าครึ่งศตวรรษนานกว่า 10 ปีแล้ว ต้องบอกว่าฝ่ายค้านชุดนี้ “บ้อลัดและอ่อนหัด” ทำได้แค่แลบลิ้นปลิ้นตาหรือแยกเขี้ยวหลอกรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เท่านั้น
เหมือนตะเกียงไร้นํ้ามัน หรือเห่าหอนเสียงดังให้ได้ยินกันทั่วแค่นั้น แท้ที่จริงไม่มีไร? ไร้นํ้ายาที่จะโค่นรัฐบาลใหม่ หรือทำได้ก็แค่เป็น “เกม” การเมืองเขย่ารัฐบาลและทหารให้โกธร ไม่ได้มีพละกำลังพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมือง หรือกระทั่งโค่นล้ม “ขั้ว-ฝ่าย” ตรงข้ามได้แต่อย่างใด?
โดยอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งจากตัวทีเด็ด-ทีขาดที่เป็น “ดาวดัง” ในสภา ถูกตัดสิทธิ์ไม่มีโอกาสกลับเข้ามาทำหน้าที่ในรัฐสภาใหม่ แถมด้วยข่าวลือ “นายใหญ่” จะไม่สนับสนุนท่อ “นํ้าเลี้ยง” ให้พรรคเพื่อไทยอีกแล้ว
เรื่อง “นายใหญ่” จะจริงหรือเท็จประการใดไม่แจ้ง แต่สถานการณ์ล่าสุด ก็เงียบจนผิดปกติ และกลายเป็นคำถามใหญ่ ว่า นายใหญ่หรือนายทักษิณ วางมือหรือล้างมือในอ่างทองคำ เลิกเล่นการเมืองออกมาเป็นระยะๆ และต่อเนื่อง
แต่ในฐานะคนข่าวที่พอมีเส้นสายวงใน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แม้เป็นเพียงผู้ชมข้างเวที ไม่ใช่ผู้แสดงหรือผู้กำกับ หากแต่เป็นผู้สนใจติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างมีสติและรอบด้าน ขอ “ฟันธง” ด้วยคำพยากรณ์เป็นข้อๆ ดังนี้
1. รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” จะฝ่าด่านต่างๆ ไปได้เรื่อยๆ แม้เป็นรัฐบาลที่เสียง “ปริ่มนํ้า” และดีไม่ดีรัฐบาลจะอยู่ได้ยาว 4 ปี และเลือกตั้งอีกรอบก็อาจจะยังกลับมาเป็นรัฐบาลได้
ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ เราอาจจะเห็นแฮตทริก 5+4+4 ก็ได้ ใคร?จะไปรู้
ป.ล.แต่ขึ้นอยู่กับฝีมือ รวมทั้งผลการกระทำของรัฐบาลเองด้วย
และ 2. พรรคสีส้มน่าจะถูกยุบ หลังจากนั้นพรรคก็จะเกิดสภาพพรรคแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” ของพรรคใหญ่พรรคหนึ่งในศึกเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา...
ส่งผลทำให้หน.พรรคต้องหนีคดี เป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศเช่นเดียวกับอดีตนายกฯ บางคน ส่วนในพรรคก็จะมี “งูเห่า” จำนวนมากหารังใหม่ โดยจะมีงูเห่าเข้าร่วมทั้ง “ขั้ว-ฝ่าย” รัฐบาลและฝ่ายค้าน
สรุปพอสังเขปเบื้องต้นคร่าวๆ 2 ข้อก่อน ส่วนที่เป็นประเด็นปลีกย่อยที่เป็นเหตุผลเพื่ออธิบายคำพยากรณ์ข้างต้นก็คือ
หากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ยังคงถูกใช้ต่อไป “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์นายกฯ มีอุบัติเหตุวันนี้หรือในวาระที่อาจทำให้ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ระบอบคสช. ก็จะยังอยู่ยั้งยืนยงคู่กับประเทศไทยตลอดไป อาทิ เช่น แพ้การเลือกตั้งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็จะมี “กับดัก” สกัดรัฐบาลใหม่ ไม่ให้สามารถบริหารประเทศได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการแถลงนโยบายรัฐบาลที่สัญญาไว้กับประชาชน เนื่องจากนโยบายรัฐบาลจะต้องยึดโยงกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี
เช่นเดียวกับเมื่อรัฐบาลมีปัญหา ก็จะมีการนำ มาตรา 270 มาใช้เพื่อยืดอายุรัฐบาลเสียงปริ่มนํ้า เป็นครั้งคราวทุกครั้ง
ขณะที่ มาตรา 158 ที่บัญญัติไว้ให้นายกฯ เป็นได้สูงสุดรวมกันไม่เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งกี่สมัย (เว้นแต่จะมีการแก้รัฐธรรมนูญ) แต่แฮตทริก 5+4+4 = 13 ปี ก็นับว่านานเกินพอแล้ว
สุดท้าย มีคำถามว่า โอกาสที่จะเกิดสถานการณ์ตามคำพยากรณ์ข้างต้นมีมากน้อยแค่ไหน?ขอตอบสั้นๆ ว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นแบบนั้นพอสมควร
คอลัมน์ อยู่กับปัจจุบัน โดย พงษ์ศักดิ์ ศรีสด
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3493 วันที่ 4-7 สิงหาคม 2562