76 คันเป็นตัวเลขที่ “นิสสัน ลีฟ โฉมใหม่” ขายได้ หลังส่งมอบตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน ทว่ายอดขายทั่วโลกในเจเนอเรชันที่ 2 นี้ใช้เวลาเพียงปีกว่าๆทำได้เกิน 1 แสนคัน ดังนั้นถ้ารวมกับโฉมแรกที่เริ่มทำตลาดตั้งแต่ ปี2553 ยอดขายสะสมจึงทะลุ 4 แสนคันไปเรียบร้อย
“อีวีที่ขายดีที่สุดในโลก” แต่มาเมืองไทยด้วยราคา 1.99 ล้านบาท ยอดเลยอืดอย่างที่เห็น แม้นิสสันจะยืนยันว่าต้องการขายกลุ่มลูกค้าองค์กร หรือขาย ล็อตใหญ่ (ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น) มากกว่าลูกค้ารายบุคคลก็ตาม
เอาละครับ เมื่อรถที่ต้องนำเข้าจากญี่ปุ่นพร้อมส่งให้ดีลเลอร์ทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศที่ได้สิทธิ์การขาย และเพียงพอที่จะให้นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดกิจกรรมการตลาด ล่าสุดเขาเลยจัดอีเวนต์ที่น่าสนใจ “rEVolution education” ที่ จีแลนด์ พระราม 9 (ใกล้ๆเซ็นทรัล) ให้สื่อมวลชนได้ลองขับทั้งรูปแบบจิมคาน่าจับเวลาแข่งขัน และวิ่งออกไปผ่านเมืองไปถึงนครชัยศรี
ถือเป็นกิจกรรมที่ดีครับ เพราะผู้คนจะได้เห็นลีฟบนท้องถนน ซึ่งคนจะรู้ว่าเป็นการทดสอบหรือไม่ก็ช่าง แต่เริ่มเห็นวิ่งบ่อยๆเข้า ก็สร้างการรับรู้และความมั่นใจ ถือเป็นการโปรโมตไปในตัว
ก่อนหน้านี้ ผมเคยขับ “ลีฟ”มาหลายครั้งในต่างประเทศ แต่นี่ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ลองบนถนนเมืองไทย
ภายในนิสสัน ลีฟ กว้างขวาง เบาะหลังพับได้เพิ่มความอเนกประสงค์สไตล์รถแฮตช์แบ็ก ส่วนการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารทำได้เงียบมากๆ ทั้งเสียงการจราจรภายนอก เสียงลม และยางบดพื้นถนน
นิสสัน ลีฟ ยังมีโหมดการขับขี่ที่เปลี่ยนได้ แต่ต้องมาเลือกกันแถวๆ คันเกียร์ โดยหลังจากสตาร์ตระบบขับเคลื่อนแล้วเข้าเกียร์ D รถวิ่งปกติ แต่ถ้าอยากให้ระบบเบรกรีเจเนอเรทีฟ ของรถหน่วงมากหน่อย พร้อมเก็บไฟฟ้าเข้าไปในแบตเตอรี่มากขึ้น เพียงผลักคันเกียร์ตุ้มจิ๋วซํ้าให้เป็นโหมด B
บางกรณีขับๆไปกลัวไฟฟ้าจะหมด ให้กดเลือกโหมด ECO รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างประหยัดที่สุด ทั้งลดการทำงานของระบบปรับอากาศ และการตอบสนองของอัตราเร่ง ซึ่งรูปแบบการขับเหล่านี้จะช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งได้ 10-20% เลยทีเดียว
ยังไม่รวมโหมด “อี-แพดเดิล” ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางในเมือง ซึ่งจะเห็นประโยชน์ช่วงรถติดๆ เพราะคุณสามารถใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียวในการขับขี่ได้ เพราะรถจะชะลอและเบรกให้จนหยุดนิ่ง เมื่อคุณถอนคันเร่งแต่ไม่ต้องย้ายเท้าไปเหยียบเบรก
ส่วนอัตราเร่งนั้นยอดเยี่ยม กำลัง 150 แรงม้าแรงบิดระดับ 320 นิวตัน-เมตร ของมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า ตอบสนองการขับขี่ได้ทันใจ ส่วนพวงมาลัยนํ้าหนักเบา ควบคุมคล่องแคล่ว เพียงแต่การใช้บนความเร็วสูงผมว่ายังเบามือไปนิด
ทั้งนี้ ก่อนออกจากจุดสตาร์ตที่พระราม 9 แบตเตอรี่รถผมเหลือประมาณ 90% จากนั้นขับไปทำกิจกรรมบนดาดฟ้าห้างฟอร์จูน แต่มีช่วงจอดรอคิวนิ่งๆประมาณ 30 นาที ก็นั่งกันอยู่ในรถนั้นแหละครับ เปิดแอร์เย็นฉํ่าแล้วไม่ต้องกลัวใครจะว่าเพราะรถเราไม่ปล่อยไอเสียอยู่แล้ว
เสร็จกิจกรรมบนดาดฟ้า ผมใช้เส้นรัชดาฯมุ่งไปขึ้นทางด่วนศรีรัชฯ เพื่อลงถนนบรมราชชนนี ขับไปถึงพุทธมณฑลสาย 5 แวะกินกาแฟ 1 แก้วจากนั้นกลับมาใช้เส้นทางเดิม (มีจอดแวะอีก 1 แห่ง) ใช้ระยะทางรวมกว่า 130 กิโลเมตร สุดท้ายหน้าปัดแสดงสถานะของแบตเตอรี่ยังเหลือประจุไฟ 39% และวิ่งได้อีก 104 กิโลเมตร
นั่นแสดงให้เห็นว่าใน 1 วัน แบตเตอรี่ลิเทียมไออนขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่เคลมระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้งไว้ 311 กิโลเมตรเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และเหลือทำกิจกรรมอื่นๆ ส่วนการคำนวณค่าใช้จ่ายต่อหน่วยการวิ่ง โดยอิงอัตราค่าไฟ 4 บาทต่อหน่วย ชาร์จแบตเตอรี่เต็มเท่ากับเสียค่าไฟ 160 บาท ถ้าวิ่งได้ 300 กิโลเมตร(เอากลมๆ) เท่ากับ ลีฟ จะมีต้นทุนเพียง 0.53 บาทต่อกิโลเมตร เท่านั้นเองถ้าเทียบกับคอมแพ็กต์คาร์เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เติมนํ้ามันต้องมี 2-3 บาทต่อกิโลเมตร (แล้วแต่ชนิดนํ้ามัน)
รวบรัดตัดความ...ลีฟ ขายมาเป็นเจเนอเรชันที่ 2 นิสสันมีความรู้ในเทคโนโลยีและเข้าใจสภาพแวดล้อมการขายเพียงพอ ส่วนค่าตัว 1.99 ล้านบาทเป็น “มาร์เก็ตติ้งไพรซ์” ที่นิสสันมีกลุ่มเป้าหมายเอาไว้แล้ว เพราะต่อให้ตั้งราคาตํ่ากว่านี้ คนที่ไม่ซื้อก็ไม่ซื้ออยู่ดี ตลอดจนกลุ่มคนที่คิดว่าเงิน 2 ล้านบาท ขยับไปเล่นรถยุโรป หรือซื้อรถถูกกว่าแล้วเอาเงินที่เหลือไปเติมนํ้ามันได้หลายปี ซึ่งยังไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่นิสสันเขาอยากขายในตอนนี้ครับ
หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 39 ฉบับที่ 3,491 วันที่ 28 - 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562