อนาคตใหม่ หรือ อนาคตไหม้

25 ก.ค. 2562 | 05:03 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฉบับ 3490 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 25-27 ก.ค.2562 โดย... ประพันธุ์ คูณมี 

อนาคตใหม่ 
หรือ อนาคตไหม้


          การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ จนสามารถได้รับการเลือกตั้ง เป็นพรรคการเมืองอันดับที่ 3 ในสภาขณะนี้ ล้วนมีเหตุปัจจัยหลายประการที่เอื้ออำนวยให้พรรคการเมืองเกิดใหม่ นักการเมืองหน้าใหม่อย่าง นายธนาธร จึงรุ่ง-เรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล กับพวก แจ้งเกิดบนเวทีการเมืองโดยการเลือกตั้งทั่วไปได้ ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ทั้งที่บุคคลทั้ง 2 ได้แสดงพฤติกรรม สุดจะรังเกียจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แบบเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินนํ้าแกง หรือประเภทเกิดจากท้องแม่ (รัฐธรรมนูญ) แต่ก็ประณามแม่ ที่ให้กำเนิดตนเองมาโดยตลอด ถามว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมีพรรคอนาคตใหม่หรือไม่?
          อาการที่คนไทยเบื่อนักการเมืองแบบเก่าๆ พวกที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองไม่จบสิ้น ประเภทเล่นการเมืองไม่สร้างสรรค์ มุ่งมั่นแต่จะทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม มีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันโกงกิน ผสมโรงกับพวกไม่ชอบรัฐบาลทหารที่ครองอำนาจมานาน รวมถึงความตื่นตัวสนใจการเมืองของคนรุ่นใหม่ ที่อยากเห็นการเมืองไทยก้าวหน้า ประเทศก้าวไกล ไร้ปัญหาความขัดแย้งและวังวนทางการเมืองที่วุ่นวาย จึงเป็นช่องทาง และโอกาสให้พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ มีพื้นที่และเวทีแจ้งเกิดได้
          บรรยากาศคล้ายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2517 และจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ก็มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมากมายเป็นดอกเห็ด “ชนิดบุปผาบานพร้อมพรัก ร้อยสำนักแข่งประชัน” พรรคการเมืองแนวทางสังคมนิยม ก็แจ้งเกิดได้
          ในช่วงนั้น ไม่ต่างจากบรรยากาศการเมืองปัจจุบัน แต่พรรคการเมืองในยุคนั้นถึงวันนี้ ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว คงเหลือเพียงพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่ยังดำรงความเป็นพรรคการเมืองมาได้ ส่วนพรรคอนาคตใหม่ จะเป็นอนาคตของประเทศได้หรือไม่ และจะยังรักษาความเป็นพรรคการเมืองไปได้อีกสักกี่วันเดือนปี ยังมีเครื่องหมายคำถามที่ต้องรอคำตอบว่าจะถูกยุบหรือไม่ยุบ เพราะพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง

          การที่พรรคอนาคตใหม่ พรรคเกิดใหม่ที่ก่อตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพียงปีเดียวก็ได้รับเลือกตั้งครั้งนี้มี ส.ส.เข้าสภาถึง 81 ที่นั่งจากจำนวน 500 คน ต้องถือว่าได้รับผลสำเร็จอย่างสูงยิ่ง น่าจะเป็นความหวังและอนาคตใหม่ทางการเมือง หรือเป็นทางเลือกให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ แต่แล้วทำไมนับตั้งแต่ผ่านการเลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่จึงกลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตก ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถล่มอย่างหนัก ด้วยปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ละวันต้องหาเหตุผลมาแก้ตัวสารพัด มีประเด็นขัดแย้งกับประชาชนและสังคมไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งก็เป็นไปในลักษณะที่พรรคอนาคตใหม่จุดไฟเผาตัวเองทั้งสิ้น จนดูเหมือนจะเป็น “พรรคอนาคตไหม้” เข้าไปทุกที ต้นตอของปัญหามาจากที่ใดเล่า ใครเป็นคนก่อทำไมนายธนาธร จึงโทษและโยนความผิดไปให้แต่คนอื่น ท่าทีเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ นี่หรือนักการเมืองรุ่นใหม่ ทำอะไรทำไมจึงไม่คิดให้ดีก่อนทำ
          หากจะทบทวนตนเอง พิจารณาด้วยความมีสติ ศึกษาปัญหาด้วยความเคารพต่อความเป็นจริง ก็จะเห็นได้ว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ ล้วนเกิดแต่การกระทำของตนเองทั้งสิ้นแทบทุกกรณี
          1. กรณีปัญหาคุณสมบัติของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98 (3) เพราะเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ อันเป็นเหตุให้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เป็นปัญหาที่นายธนาธร ก่อขึ้นเองไม่มีใครกลั่นแกล้งได้ เขาโอนหุ้นที่ถือในบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ไปให้บุคคลอื่นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง แล้วทำไมไม่โอนหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่เป็นหุ้นสื่อหนังสือพิมพ์ ที่มีผลประกอบกิจการสื่อจริง ตามรายการในบัญชีงบดุลประจำปี จนในที่สุด กกต.ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย การให้นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาแก้ตัวก็ไร้นํ้าหนัก ขาดความน่าเชื่อถือขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน ทั้งขัดต่อข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
         2. กรณีความไม่ชัดเจนในหลักการและอุดมการณ์ของพรรคว่า พรรคอนาคตใหม่มีความเลื่อมใสศรัทธาและยึดมั่นต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 2 หรือไม่ ก็เป็นปัญหาที่พรรคก่อขึ้นเอง จนทำให้มีผู้สงสัยในพฤติกรรมและการกระทำของหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค ถามใครเป็นคนกระทำหรือกลั่นแกล้งพรรค เพราะไล่เรียงตั้งแต่หัวหน้าพรรค ที่ประกาศจะสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะราษฎร หมายความว่าอย่างไร เพราะอุดมการณ์คณะราษฎร คือ ล้มล้างการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือล้มระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั่นเอง และทั้งคุณช่อและนายปิยบุตร ล้วนมีทัศนคติที่ส่อไปในทางปฏิกษัตริย์ คือไปในทางต่อต้านสถาบัน โดยยังมิได้เปลี่ยน แปลงพฤติกรรมให้ประชาชนวางใจ

          3. การที่นายธนาธรและคุณช่อ เดินสายไปต่างประเทศ แล้วไปให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ หรือไปอภิปรายแสดงความคิดเห็นในเวทีเสวนา กล่าวหาการเมืองการเลือกตั้งในไทยสกปรก ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการ และเรียกร้องให้ต่างชาติมาช่วยสร้างประชาธิปไตยให้คนไทยนั้น ล้วนแต่เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น คนไทยส่วนใหญ่ไม่ปลื้มกับพฤติกรรมของคุณทั้ง 2 แต่อย่างใด สมควรแล้วที่ถูกประณามว่าเป็นพฤติกรรมชังชาติของตนเอง ประชาธิปไตยมิใช่สินค้าส่งออก ต้องสร้างจากคนภายในชาติ การที่คุณเร่ไปต่างประเทศประณามชาติตนเอง จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ทำตนเป็นทาสตะวันตกที่คนไทยระอาใจ
          4. เมื่อคุณและพรรคอนาคตใหม่ ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของไทย พวกคุณก็ดาหน้าออกมาร้องแรกแหกกะเชอ อ้างว่ากฎหมายไทย ศาลไทย ไม่มีอำนาจดำเนินการกับพวกคุณ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเหนือรัฐธรรมนูญเสียอีก โดยเฉพาะเลขาธิการพรรค ที่มีประสบการณ์เพียงแค่ท่องตำราสอบได้ โดยไร้ประสบการณ์ในทางปฏิบัติทางกฎหมายในชีวิตจริง ออกมาพูดแสดงตนใหญ่กว่าศาลหรือตุลาการ ชี้ถูกชี้ผิดฟันธงทำตนสั่งสอนคนอื่น ที่สำคัญคือฟันผิดธงเสียอีก 
          นี่เป็นเพียงข้อปัญหาไม่กี่ข้อ อนาคตใหม่ก็แทบกลายเป็นอนาคตไหม้เสียแล้วจึงอยากจะเตือนพรรคของคนรุ่นใหม่ ถ้าคิดจะสร้างประชาธิปไตย สร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศ หันกลับมาสร้างอนาคตให้กับตนเองให้ได้เสียก่อนเถอะ กลับมาสำรวจและวิจารณ์ตนเองอย่างตรงไปตรงมา หัดเคารพความจริงเคารพความคิดเห็นผู้อื่นเสียบ้าง เคารพกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีเสียก่อน ค่อยคิดจะไปสร้างอนาคตให้ผู้อื่นและประเทศชาติ