สัมภาษณ์
หุ้นน้องใหม่ “ILM” บริษัทอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรที่ก่อตั้งมานาน 25 ปี โดยมี 4 แบรนด์หลักครอบคลุมลูกค้าทุกระดับ คือ Index Living Mall, Trend Design, Bo Concept และ MOMENTOUS และยังเป็นผู้ให้บริการพื้นที่เช่า ภายใต้แบรนด์ The Walk, Little Walk และ Index Mall โดยมีจุดแข็งด้านแบรนด์ร้านค้าปลีกและแบรนด์สินค้าเป็นที่จดจำได้รับความนิยม (Brand Awareness)
ILM เคาะราคาหุ้น IPO ที่ 22 บาท โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ IPO ในระหว่างวันที่ 17-19 กรกฎาคมนี้ และคาดหุ้น ILM จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 2.52 พันล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 505 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 2 พันล้านบาท โดยเป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น และที่จะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 105 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.79% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการและกรรมการผู้จัดการ ILM เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงเป้าหมายการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการเติบโตของบริษัทหลังจากนี้ว่า เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีสาขาครอบคลุมทุกจังหวัดใหญ่ ดังนั้นหลังจากนี้จะขยายเพียงปีละ 1-2 สาขา แต่จะเน้นไปยังหัวเมืองรองในรูปแบบร้านค้าปลีกขนาดเล็ก COCO ภายใต้ชื่อร้าน Winner Furniture Centre และการใช้ “Younique Customized Furniture 4.0” (เฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามความต้องการลูกค้า) เป็นกลยุทธ์ในการขยายตลาด โดยหลังจากบริษัทเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ Younique เมื่อปลายปี 2560 ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม โดยมียอดขายในปี 2561 ประมาณ 228 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2560 ที่มียอดขายเพียง 14 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้มียอดขาย 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 38 ล้านบาท
กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ
สำหรับวงเงินระดมทุนราว 2,310 ล้านบาท บริษัทมีแผนขยายสาขาร้าน Index Living Mall ปี 2562-2563 จำนวน 3 สาขาใช้เงินลงทุนสาขาละ 160-300 ล้านบาท โดยเดือนกรกฎาคมนี้จะเปิดสาขาที่จันทบุรีและปี 2563 จำนวน 2 สาขาที่รามอินทรา และสุขาภิบาล 5 พร้อมใช้เงินลงทุนราว 120 ล้านบาท ในการขยาย Younique เพิ่มเติมในสาขาร้าน Index Living Mall และร้าน Winner Furniture Centre จำนวน 2 สาขา
พร้อมเตรียมเงินลงทุน 536 ล้านบาทใช้ในโครงการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป ปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของโรงงานเพื่อลดต้นทุน การลงทุนด้านเครื่องจักรที่เน้นการผลิตแบบอัตโนมัติ และแผนลงทุนอื่นๆ อาทิ ปรับปรุงพื้นอาคาร ซื้อรถบรรทุกส่งสินค้าใหม่ และชำระเงินกู้
“นโยบายของบริษัทจะไม่เน้นการเติบโตแบบหวือหวา แต่จะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุน ตอบโจทย์ทุกการแต่งบ้านเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า และสร้างความยั่งยืนในแง่การทำกำไร เพื่อตอบแทนปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และด้วยสภาวะของเศรษฐกิจ เราเห็นว่าไม่ควรจะไปเน้นขยายมากเกินกำลังซื้อ เพราะอาจโตระยะสั้น แต่สร้างความเสี่ยงระยะกลางและยาวได้ ยอดขายบริษัทที่ผ่านมาจะโตเฉลี่ย 3.3%”
ผลประกอบการปี 2561 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 9,658 ล้านบาท รายได้จากการขาย 9,174 ล้านบาท คิดเป็น 95% และรายได้จากการให้บริการพื้นที่เช่า (คอมมิวนิตีมอลล์ในชื่อ THE Walk) 415 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.3% โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการให้บริการพื้นที่เช่าเป็น 5%
ช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันบริษัทมี 36 สาขาครอบคลุม 21 จังหวัดทั่วประเทศ, ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย 25 ร้าน, ฐานลูกค้าจากโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ผ่านช่องทางออนไลน์ การรับจ้างผลิต ตลอดจนแฟรนไชส์ในต่างประเทศที่มีถึง 17 ร้านค้าใน 7 ประเทศ และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 2 ประเทศ เพื่อทดแทนรายได้ในส่วนของมาเลเซียที่ปิดไปทั้งหมด
อนึ่งข้อมูลบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ ระบุมูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์โดยรวมอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยหากเทียบกับยอดขาย บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จะมีส่วนแบ่งยอดขายอยู่ที่ 17-18% เป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ขณะที่รองอันดับ 2 และ 3 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 15% และ 10% ตามลำดับ
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,488 วันที่ 18-20 กรกฎาคม 2562