ใช้ไม้ซีก ไปดับ 'สึนามิเงินร้อน'

13 ก.ค. 2562 | 05:48 น.

คอลัมน์ทางออกนอกตำรา ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3487 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 14-17 ก.ค.2562 โดย...บากบั่น บุญเลิศ

 

ใช้ไม้ซีก

ไปดับ 'สึนามิเงินร้อน'

 

                วันศุกร์ที่ 12 ก.ค. 2562 กลายเป็นวัน “สุกดิบ” สำหรับตลาดหุ้นตลาดทุนของไทยไปเสียแล้ว

                เหตุเพราะ....ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ฮึ่มๆ ว่าจะออกมาตรการมาดูแลเงินร้อน จัดการประกาศมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท

                ผมสกัดมาตรการออกมาได้ 3 วิธี

                1. ให้สถาบันการเงินคุมยอดคงค้างในบัญชี Non resident Baht Account (NBRA) รวมกับ Non-resident Baht Account for securities (NBRs) ให้มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันของแต่ละบัญชีไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อราย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม หรืออีก 1 สัปดาห์หลังจากนี้...เรียกว่า ให้เวลาหายใจปรับตัวกัน 1 อาทิตย์

                ถามว่าการคุมพวกนี้คืออะไร ก็คือการควบคุมเงินผ่านการปรับลดยอดคงค้างสิ้นวันของบัญชีนักลงทุนต่างชาติที่จะเอาเงินมาพักไว้ ก่อนจะเข้าซื้อหุ้น ตราสารหนี้ และการชำระค่าสินค้าและบริการให้ลดลงจากวันละ 300-400 ล้านบาท เหลือ 200 ล้านบาท

                2. ให้บัญชี Special Purpose Non-resident Baht Account (SNA) มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันเกินกว่า 200 ล้านบาทได้ แต่ต้องไม่เกินวงเงินสินเชื่อตามเกณฑ์ ของ ธปท. และเฉพาะในส่วนที่สถาบันการเงินจะปล่อยสินเชื่อผ่านบัญชี SNA หรือที่ได้รับจากการออกจำหน่ายพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในไทย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม หรืออีก 1 สัปดาห์หลังจากนี้ เช่นกัน

                3. ธปท.ได้เพิ่มความเข้มงวดของรายงานยอดเงินคงค้างการถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยให้รายงานถึงระดับชื่อของผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง เริ่มมีผลบังคับใช้ในรายงานเดือนกรกฎาคมนี้...

                “ธนาคารแห่งประเทศไทยติดตามค่าเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด” “และมีความกังวลกับค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้นเร็วและแข็งค่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินภูมิภาค จนอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม” ผู้บริหารของแบงก์ชาติบอก

                แปลเป็นไทยว่า แบงก์ชาติจะเกาะติดนักเก็งกำไรจากค่าของเงินแล้วพ่อแก้ว แม่แก้วเอ๋ย

                ผลคืออะไรนะเหรอครับ ค่าเงินบาทก็ดีดกลับทิศกลับทางทันที เงินบาทอ่อนค่ารวดเดียวเกือบ 1% ขึ้นมาอยู่โซน 31 บาท ขณะที่ตลาดหุ้นที่เขียวชอุ่มพุ่มไสว ดัชนีเป็นบวกอยู่เพลินๆถูกทุบร่วงลงมาเกือบ 10 จุดในช่วงเช้าของวันศุกร์

                “มาตรการนี้ถือว่าเป็นยาแรงมากๆ ครับ นักลงทุนต่างชาติที่เป็นนักเก็งกำไรน่าจะต้องคิดหนักเลยครับ”นี่ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัททรีนีตี้ฯ ว่าไว้เช่นนั้น

                คำถามตามมาคือ ทำไมแบงก์ชาติถึงออกมาทำเรื่องนี้ วชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางหลายแห่ง ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับมายังกลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกครั้ง นักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่อื่น จึงเพิ่มการถือครองเงินบาทและลงทุนในหลักทรัพย์ไทยมากขึ้นในระยะหลัง และบางส่วนอาจใช้ไทยเป็นแหล่งพักเงินระยะสั้น

                ใครหลายคนอาจไม่รู้ นับตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อตราสารหนี้ไทยมากถึง 1.2-1.4 แสนล้านบาท

                ขณะที่มีสัญญาณชัดมากๆในตลาดทุนว่า ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยโลกเริ่มมีแนวโน้มเป็นขาลง ค่าเงินดอลลาร์เองก็อ่อน เพราะเจอปัญหาชะลอตัวของเศรษฐกิจและสงครามการค้า

                แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้แย่เหมือนที่คนไทยในประเทศรับรู้ ทุนฝรั่งเขาดูฐานะการเงินการคลังเราแล้วเห็นว่า ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก เงินทุนต่างชาติเลยไหลเข้ามาจำนวนมาก”

                ไอ้กระแสเงินทุนจากต่างชาตินี่และที่เป็นปัญหาจนแบงก์ชาติออกมาตรการ เพราะส่วนหนึ่งเป็นการเก็งกำไร และเป็นแหล่งพักเงินชั่วคราว เมื่อเข้ามามาก ค่าเงินบาทถึงแข็งโป๊ก และแข็งอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

                จนมีคนบอกว่า ค่าเงินบาทไทยแข็งที่สุดในปฐพี

                ผลที่ตามมาคือตัวเลขการส่งออกไทยในระยะ 5 เดือนแรกของปีนี้ หดตัวรุนแรงมากถึง 4.9% ถ้าปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งโป๊กอยู่แบบนี้ ผู้ส่งออกของไทยเองก็เสร็จสิครับ

                เดือนหนึ่งไทยส่งออกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าค่าเงินบาทเราแข็งค่าขึ้น 1 บาทพอ เงินในมือของผู้ส่งออกที่จะนำมาหมุนเวียนมาซื้อของวัตถุดิบไปผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก็หายไปทันที 20,000 ล้านบาท

                ถ้าแข็งค่าแบบนี้ทั้งปีเท่ากับว่าเงินเราหายไปเท่าไหร่นะหรือครับ ไม่มากครับแค่ 240,000 ล้านบาท

                จำนวนเงินก้อนโตเท่านี้สามารถทำรถไฟฟ้าในเมืองเชียงใหม่ พัทยา หรือภูเก็ต ได้ 1 เส้นทางเลย

                เห็นพิษจากค่าเงินที่แข็งค่าหรือยังครับ

                “ผมคิดว่า ธปท.ใช้ยาแรงนะครับ ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี จะช่วยลดการเก็งกำไรได้อยู่หมัด โดยเฉพาะมาตรการให้รายงานรายชื่อผู้ถือครองตราสารหนี้ ผู้รับผลประโยชน์ เพราะเท่ากับสืบไปที่ต้นตอ ไปติตตามพฤติกรรมการซื้อขาย ของนักลงทุน หรือกองทุนนั้นๆ” ผู้บริหารธนาคารฝรั่งรายหนึ่งบอกถึงดีกรีของมาตรการ

                ผมมีโอกาสสอบถามผู้ใหญ่ในวังบางขุนพรหมว่า ตัวเลขทุนเคลื่อนย้ายเป็นอย่างไร ท่านให้ข้อมูลมาว่าทำไมถึงออกมาสกัดดังนี้

                ถ้าดูเงินทุนที่ไหลเข้ามาในขณะนี้ ถือเป็นเงินร้อนจากนักลงทุนต่างชาติล้วนๆ ไม่ใช่เงินที่ไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในประเทศ หรือเงินจากภาคการท่องเที่ยว เพราะถ้าดูจากกระแสเงินไหลเข้าในรอบนี้ เข้ามาทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรรวมเกือบ 1.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ไหลเข้าในบอนด์ระยะสั้นไม่เกิน 1ปี

                เป็นเงินที่ลงทุนในตลาดบอนด์ 7.5 - 8 หมื่นล้านบาท เงินลงทุนในตลาดหุ้นอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 3 ปี นี่คือตัวที่บ่งชี้ชัดเจนว่า รอบนี้ เป็น“เงินร้อน” มากกว่า จะหวังลงทุนยาวๆ

                เชื่อหรือไม่ มาตรการนี้แม้จะเป็นความลับ แต่ดันมีมือดีรู้เหมือนตอนลดเงินบาทเลย พรายไม่รู้ไปกระซิบใครเงินไหลออกจากบอนด์ไปร่วม 10,000 ล้านบาทในตอนเย็นของวันวานก่อนมาตรการคลอด

                มีคนถามมาอีกว่า มาตรการนี้เป็นยาแรงเหมือนการควบคุมเงินทุนสมัยคุณธาริษา วัฒนเกส เป็นผู้ว่าการ ธปท. และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รมว.คลัง ขณะนั้นดำเนินการ จนหุ้นไทยดำดิ่งลงเละเทะกว่า 100 จุด เลือดทะลักจากตลาดหุ้นหรือไม่

                ผู้จัดการกองทุนฝรั่งตานํ้าข้าวบอกว่า “ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ตลาดไม่น่าจะช็อก ตกใจกับมาตรการมากนักแต่ลงแน่ เพราะทุนตื่นและต้องปรับตัว”

                ต้องติดตามว่ามาตรการดับเงินร้อนของแบงก์ชาติรอบนี้จะต้านทานเงินร้อนที่ดาหน้ามาได้หรือไม่

                ผมว่าธปท.ทำได้ดี แม้มาตรการที่ออกไปจะเป็นเงินการสกัดทัพใหญ่ของทุนเคลื่อนย้าย โดยใช้ไม้ซีกไปงัดไม้ซุงก็ตามที แต่เป็นการบอกว่า แบงก์ชาติเราไม่เอาเงินร้อนนะพี่น้องฝรั่ง!