แย่งเก้าอี้ แย่งงาน แย่งเงิน ไหวมั้ยลุง....?

12 ก.ค. 2562 | 11:51 น.

คอลัมน์อยู่บนภู ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3487 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 14-18 ก.ค.2562 โดย...กระบี่เดียวดาย

 

แย่งเก้าอี้ แย่งงาน แย่งเงิน

ไหวมั้ยลุง....?

                  รัฐนาวาลุงตู่2กำลังเข้าสู่โหมดของการเคลื่อนตัวบริหารประเทศ แต่จะเปลี่ยนจากเรือแป๊ะเป็นเรือเหล็ก ตามที่วาดหวังตั้งใจได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามเกาะติดใกล้ชิด หลังจากใช้เวลา 3 เดือนเศษได้หน้าตาครม.รัฐบาลผสม 19 พรรค ที่ถูกคำปรามาสรอบทิศ “ไหวมั้ยลุง”

                  คำปรามาสที่เกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งมีข้อจำกัดในการเลือกคนมาบริหารงาน จำต้องใช้ศิลปและบารมีส่วนตัวผสมผสาน บารมีสีเขียวในการจัดการ จำต้องยอมรับว่าไม่สามารถเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือน 5 ปีที่ผ่านมา เพราะต้องอาศัยมือของนักการเมือง ผู้มาพร้อมเขี้ยวคมที่ลากยาวไปบนท้องถนน

                  ผลหรือหน้าตาครม.ที่ออกมา จึงมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก นักการเมืองสีเทาๆสังคมตั้งคำถาม จึงยังมีผสมผสานในครม.ลุงตู่ 2 มีผู้สูงอายุที่น่าจะพอ ด้วยถึงวันเวลากลับบ้านไปเลี้ยงหลาน แต่ยังสะกด” พอ” ไม่เป็น เย็นไม่ได้ ยังต้องมีที่นั่งในครม.

                  ผลที่ออกมาจากหน้าตาครม.จึงถูกปรามาสจะรับภารกิจไหวหรือ เมื่อโลกเคลื่อนตัวเร็วตามกระแสดิจิทัล แต่หน้าตาครม.ไม่ได้ตอบโจทย์ดิจิทัลและที่ประเทศต้องเผชิญปัญหารุนแรงขณะนี้ อันเนื่องมาจากการนำพาตัวเองปรับตัวรับกับโลกดิจิทัลไม่ทัน

                  ครม.ลุงตู่ เริ่มต้นด้วยการแย่งชิงเก้าอี้กันอย่างเมามัน ก่อนตั้งครม.เสียงโหวกแหวกโวยวายไม่พอใจเก้าอี้ที่ได้รับ จนแทบจะตั้งกันไม่ได้ ทั้งเก้าอี้กระทรวงพลังงานที่ยื้อแย่งกันสุดฤทธิ์ตามล่าขุมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นจากการกำหนดนโยบายของกระทรวงพลังงานที่มีมากมายมหาศาลกว่างบหมื่นล้านตามระบบ

                  ถัดจากแย่งเก้าอี้เข้าสู่โหมดของการแย่งงาน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีหน่วยงานระดัมกรมและรสก.เล็กน้อยยิบย่อยรวมทั้งสิ้น 14 กรมกับอีก 3 รัฐวิสาหกิจ แต่การตั้งรัฐบาลกลับอัดรัฐมนตรีลงไปถึง 4 คน 1 รัฐมนตรีว่าการกับอีก 3 รัฐมนตรีช่วยต่างพรรคทั้งสิ้น มีโอกาสแบ่งงานกันไม่ลงตัวเพราะคนที่มานั่งรัฐมนตรีล้วนแต่ขาใหญ่แบ็คอัพแข็งทั้งสิ้น โดยปกติของการแบ่งงานกำกับสั่งการของรัฐบาลผสมมักจะแบ่งขาดไม่ยุ่งเกี่ยวกันเสียด้วย

                  การแก้ปัญหาแบ่งงานในกระทรวงเกษตรฯอาจจะย้อนยุคกลับไปเหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณที่แบ่งงานในกระทรวงพาณิชย์ช่วงที่อดิศัย โพธารามิก เป็นรัฐมนตรีว่าการ มีเนวิน ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีช่วย พรรคเดียวกันก็ไม่ลงตัวงานมีไม่พอคน จึงแบ่งงานลงในระดับกองในกรม โดยภาพรวมทั้งกรมรมว.สั่งการ แต่แบ่งกองสินค้าอุตสาหกรรมให้เนวิน ที่เป็นรมช.สั่งการ แบบนี้ก็เคยมีเป็นโจ๊กที่ไม่ขำขันกันมาแล้ว

                  ที่พีคสุดเรื่องการแบ่งงานกลับเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลอีกรอบ เมื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ได้พ่วงกระทรวงกลาโหมด้วยเที่ยวนี้ เล็งจะขอกำกับดูแลกระทรวงพลังงานด้วยตัวเอง ทั้งที่จะต้องเป็นการกำกับตามสายงานเศรษฐกิจที่ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีดูแล

“แม้จะเป็นกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจที่น่าจะอยู่ในกำกับดูแลของนายสมคิด แต่ พล.อ.ประวิตรอ้างว่าพลังงาน เป็นเรื่องของความมั่นคง พร้อมยกตัวอย่างในรัฐบาลประยุทธ์ 1 ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น”

เอากันเข้าไป โลกยังวุ่นวายไม่พอใช่ไหม!! ความมั่นคงของใคร ? เรื่องใหญ่ระดับรัฐบาล ระดับนายกฯไหม เมื่อพี่ใหญ่จะขอกำกับดูแลเอง

            ถ้าใครติดตามอยู่บนภูมา คงไม่ต้องสาธยายกันอีกรอบว่าทำไมต้องเป็นพลังงาน

                  ผ่านจากการแย่งเก้าอี้ แย่งงาน หลังจากนี้จะเข้าโหมดการแย่งเงิน งบประมาณ หลังจากทุกพรรคทุ่มเทหาเสียงลงไปในการเลือกตั้ง นำมาซึ่งการกำหนดนโยบายในการจัดตั้งรัฐบาล ทุกพรรคต้องการนำนโยบายตัวเองไปใส่ไว้และต้องการเงินงบประมาณมาบริหารตามนโยบาย หรือลงมาตามกระทรวงที่พรรคตนเองดูแลและต้องเร่งด่วนด้วย เพราะไม่มีใครมั่นใจรัฐบาลอยู่นานหรือไม่

                  ปัญหาอยู่ที่งบกลางที่สามารถจัดสรรใช้กับนโยบายเร่งด่วนทำทันทีนั้นไม่ค่อยจะมีหรือมีน้อยมาก ไม่ถึงแสนล้านบาท เหลือให้ใช้แค่หลักหมื่นล้านบาท เมื่อเค้กเล็กลง แต่คนมีความต้องการใช้จำเป็นมาก จึงต้องยื้อแย่งแสดงพลัง

แค่ย่างก้าวบาทแรก ก็เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แค่ก้าวลงเรือในเส้นทางก็เต็มไปด้วยหินโสโครกดำทะมึนขวางอยู่ข้างหน้า

            ไหวมั้ยลุง !!