เปิดยุทธศาสตร์ ‘เยอรมันตะวันแดง’ ยืนหนึ่ง ‘ไมโครบริวเวอรี’ สู่ทศวรรษที่ 3
เปิดแผน “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” สู่ทศวรรษที่ 3 ยํ้าเบอร์ 1 ผู้นำธุรกิจไมโครบริวเวอรี่ไทย พร้อมแตกไลน์ส่งไซซ์เล็ก “ร้านอาหารเดอะเยอรมันตะวันแดง” ขยายฐานลูกค้าใหม่ มั่นใจสิ้นปีโกยรายได้ทะลุ 900 ล้านบาทก่อนแตะพันล้านในปีหน้า
นายสุพจน์ ธีระวัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง จำกัด เจ้าของและผู้บริหารโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทพร้อมเดินหน้าธุรกิจไมโครบริวเวอรีอย่างแข็งแกร่ง หลังเปิดดำเนินงานครบ 20 ปี พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ เบียร์ อาหาร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และบริการ โดยเริ่มด้วยการเปิดตัวเบียร์ใหม่ 2 ชนิดได้แก่ โรเซ่เบียร์ และ ฮอปส์บอมบ์ หรือที่เรียกกันว่าไอพีเอ (India Pale Ale) การเพิ่มแผนกพัฒนาสินค้า เพื่อคิดค้นเมนูอาหารใหม่ทุก 3 เดือน และมีแผนกของหวาน ครัวกลาง เป็นศูนย์กลางด้านอาหาร นอกจากนี้ยังมีการพัฒนารูปแบบการนำเสนอโชว์บนเวที ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่มความน่าสนใจของเวทีให้ตื่นตามากยิ่งขึ้น และสุดท้ายกับการบริการ ที่มีการจัดทำหลักสูตรอบรมและเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกอบอุ่น สนุกสนาน และเป็นกันเอง
สุพจน์ ธีระวัฒนชัย
พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายสาขา “โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง” สาขาที่ 4 ในย่านศรีนครินทร์ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการมองหาทำเลที่เหมาะสม และอยู่ในย่านที่มีศักยภาพทั้งจำนวนประชากร ทำเลที่เหมาะสม เนื่องจากต้องการหาสถานที่ที่เหมาะสมให้มากที่สุด ดังเช่นที่ผ่านมาซึ่งต้องใช้เวลา 10 ปีในการเปิดสาขาที่ 3 แจ้งวัฒนะ ต่อจากสาขารามอินทรา ขณะที่ด้านการตลาดนอกเหนือจากการพัฒนาร้านให้มีความทันสมัย หลากหลายแล้ว ยังมีการนำระบบออนไลน์เข้ามาใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งไลน์ เฟซบุ๊ก ควบคู่กับการนำระบบ CRM จัดคอนเสิร์ตกว่า 10 ครั้งต่อเดือน โดยให้มีการมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกทั้ง 1.5 หมื่นรายในปัจจุบันให้สามารถเข้ารับชมคอนเสิร์ตได้ฟรี
“โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงสาขาแรกที่พระราม 3 เกิดขึ้นในปี 2542 ภายใต้งบประมาณการลงทุน 50 ล้านบาท และในปี 2548 เกิดสาขาที่ 2 รามอินทราขึ้น ด้วยการลงทุน 120 ล้านบาท และปี 2558 เกิดสาขาที่ 3 แจ้งวัฒนะ ขึ้นบนงบประมาณการลงทุน 180 ล้านบาท ซึ่งจากสาขารามอินทราสู่สาขาแจ้งวัฒนะใช้เวลาร่วม 10 ปีในการดำเนินงานและแม้จะมีการลงุทนแพงขึ้นถึง 50% แต่บริษัทยังต้องใช้เวลาในการหาทำเลที่เหมาะสมโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เนื่องจากร้านเป็นสเกลใหญ่จึงต้องหาทำเลให้เหมาะสมที่สุด”
นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการเปิดตัวร้านโมเดลใหม่ภายใต้ชื่อ “ร้านอาหารเดอะเยอรมันตะวันแดง” ซึ่งจะเน้นเจาะตามหัวเมืองใหญ่และต่างจังหวัด นำร่องที่อ่างศิลา จ.ชลบุรี ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีโดยจะเป็นร้านอาหารที่มีขนาดเล็กลงมาจากโมเดลโรงเบียร์ มีราคาถูกกว่า 20% ใช้งบประมาณการลงทุนราว 12-15 ล้านบาทต่อสาขา ใช้พื้นที่ 1-2 ไร่ 120 ที่นั่งจากปกติที่โรงเบียร์ใช้พื้นที่ราว 7 ไร่ ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่ม 5 แห่งในช่วง 2 ปีนับจากนี้
อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ 10% หรือคิดเป็นรายได้ 900 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 800 ล้านบาท และในปี 2563 คาดว่าจะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเดินหน้าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กด้านของนักท่องเที่ยวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีลูกค้ามาใช้บริการทั้ง 3 สาขาจำนวน 8.5 แสนคน แบ่งเป็นสาขาพระราม 3 จำนวน 38% รามอินทรา 36% และแจ้งวัฒนะ 26%
“วันนี้โรงเบียร์ฯเป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ในประเภทธุรกิจไมโครบริวเวอรี ซึ่งลูกค้าต่างชาติที่อยู่เมืองไทย (Expat) มากกว่า 50% รู้จักร้านและในแง่นักท่องเที่ยว (Tourist) ก็ผ่านทางไกด์บุ๊กต่างๆ ปัจจุบันนี้ไมโครบริวเวอรีที่มีมาก่อนโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงค่อยทยอยหายไป ส่วนกลุ่มที่เดินตามแล้วพยายามลอกเลียนแบบเรา ก็ไม่เห็นว่าเหลือใครอีกเช่นกัน คู่แข่งที่สำคัญคือตัวเราเอง ที่ต้องขยัน มุ่งมั่นในการบำรุงรักษาและพัฒนา ในแง่ของการเติบโต 20 ปีที่ผ่านมา ยอดขายยังคงโตขึ้น โดยวัดตามอัตราการบริโภคต่อหัวที่เพิ่มขึ้น จากเดิมช่วงเปิดใหม่ๆ จะอยู่ที่ 300 บาทแต่ปัจจุบันอยู่ที่ 700-800 บาทต่อหัว”
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3487 ระหว่างวันที่ 14 - 17 กรกฎาคม 2562
