ใช้สิทธิ FTA และ GSP 4 เดือน ทะลุ 2.42 หมื่นล้านดอลล์ เพิ่มขึ้น 5%

25 มิ.ย. 2562 | 05:49 น.

พาณิชย์เผยมูลค่าการใช้สิทธิ์ FTA และ GSP 4 เดือนปี 62 มีมูลค่า 2.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% อาเซียนนำใช้สิทธิสูงสุด คาดตั้งแต่ 1 ก.ค.62 เริ่มใช้ Form D แบบซื้อขายผ่านนายหน้า จะช่วยให้ไทยเพิ่มยอดการใช้สิทธิส่งออกไปยังอาเซียนอื่นและ CLMV ได้เพิ่มขึ้น ส่วนการใช้สิทธิ GSP มีมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่ม 22.15% สหรัฐฯ ครองอันดับหนึ่งผู้ส่งออกใช้สิทธิจีเอสพีมากสุด

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในช่วง 4 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่ารวม 24,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ 80.27%  เพิ่มขึ้น 5% โดยแบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA มูลค่า 22,546 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.88% และภายใต้ GSP มูลค่า 1,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22.15%

สำหรับการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA จำนวน 12 ฉบับ โดย FTA อาเซียน-ฮ่องกง เป็นฉบับล่าสุดที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2562 ที่มีมูลค่า 22,546 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.88% นั้น คิดเป็น 79.79%  ของมูลค่าการส่งออกภายใต้ FTA ไปยังประเทศคู่ภาคีความตกลง โดยตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่  อาเซียน มูลค่า 8,272 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  จีน มูลค่า 6,224 ล้านดอลลาร์สหรัฐออสเตรเลีย มูลค่า 2,669ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ   ญี่ปุ่น มูลค่า 2,578 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ อินเดียมูลค่า 1,535 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ พบว่าตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู เพิ่มขึ้น 35.36% รองลงมาคือ จีน  เพิ่ม 16.07% และอินเดีย เพิ่ม 8.77% และสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด น้ำตาลจากอ้อย และผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง

ใช้สิทธิ FTA และ GSP 4 เดือน  ทะลุ 2.42 หมื่นล้านดอลล์ เพิ่มขึ้น 5%

อย่างไรก็ตาม กรมฯ คาดว่าการส่งออกไปยังอาเซียนและ CLMV จะมีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ เพิ่มมากขึ้นอีก หลังจากจะเริ่มใช้ Form D ที่ใช้หลักการซื้อขายผ่านนายหน้า 2 รูปแบบควบคู่กัน คือ Third Country Invoicing ร่วมกับ Back-to-Back ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป โดยช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถนำเข้าสินค้าที่ เพื่อกระจายสินค้าขายต่อไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ โดยเฉพาะการขายต่อไปยังประเทศกลุ่ม CLMV ได้ ซึ่งจะเอื้อต่อระบบการค้าปัจจุบันที่มีการซื้อขายผ่านนายหน้า และช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีเครือข่ายทางการค้าและมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ให้มีแต้มต่อเพื่อแข่งขันได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลงจากการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังจะทำให้ไทยสามารถพัฒนาเป็นฮับกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียนได้ด้วย

ส่วนของการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ GSP จำนวน 4 ระบบ ประกอบด้วย สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ มีมูลค่า 1,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22.15% มีอัตราการใช้สิทธิ  87% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP โดยสหรัฐฯ ยังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือ  92% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด มีมูลค่า1,591 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 17.21% มีอัตราการใช้สิทธิ 106% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 1,492 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง รถจักรยานยนต์ และแว่นตาที่ไม่ใช่กันแดด

ใช้สิทธิ FTA และ GSP 4 เดือน  ทะลุ 2.42 หมื่นล้านดอลล์ เพิ่มขึ้น 5%

ทั้งนี้การใช้สิทธิประโยชน์ในช่วง 4 เดือนที่มีมูลค่า 24,274 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสวนทางกับภาวะการส่งออกของไทยในช่วง 4 เดือนแรกที่ลดลง 1.86% โดยต้องจับตามองปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก เช่น ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง การแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้ประเทศคู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อสินค้าจากไทย อีกทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้อาจจะส่งผลต่อเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ในปี 2562 ที่กรมฯ ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 81,025 ล้านดอลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 9% ได้