เบรกอุ้มเอกชน มาบตาพุดเฟส3

29 พ.ค. 2562 | 09:35 น.

ประมูลท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ส่อรัฐเสียเปรียบเอกชน หลังครม.เบรก ปรับหลักการโครงการ ให้กนอ.จ่ายเงินลงทุนในแต่ละปีเพิ่ม สศช.ชี้รัฐได้ผลตอบแทนลดลง 29% รายได้หาย 2.7 พันล้าน ส่วนคลังห่วงกระทบภาระการเงินกนอ.ในอนาคต

โครงการประมูลท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 มูลค่า 5.54 หมื่นล้านบาท ที่หลายฝ่ายกำลังตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับเอกชนเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมประมูลหรือไม่ เมื่อคณะรัฐมนตรียังไม่เห็นชอบให้มีการปรับปรุงหลักการของโครงการในส่วนของจำนวนเงินที่รัฐร่วมลงทุนวงเงิน 1.27 หมื่นล้านบาท และผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ จากเดิมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จะต้องชำระไม่เกิน 616.36 ล้านบาทต่อปี (อัตราคิดลด 2.5%) เสนอปรับเป็น 720 ล้านบาทต่อปีเป็นระยะเวลา 30 ปี

ล่าสุดการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ได้ต่อรองกับกลุ่มกิจการร่วมค้า กัลฟ์และพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล ได้ข้อยุติว่า กนอ.จะจ่ายเงินร่วมลงทุนเพียง 710 ล้านบาทต่อปี รวมเป็นอัตราผลตอบแทนทางการเงินและทางเศรษฐศาสตร์ของการลงทุน หรือ FIRR ที่ กนอ.จะได้รับไม่น้อยกว่า 9.21% จากเดิมอยู่ที่ 9.14% ขณะที่เอกชนจะได้รับ FIRR ลดลงอยู่ที่ 10.73% จากเดิมอยู่ที่ 10.75% รวมผลประโยชน์ที่ กนอ.จะได้รับจากโครงการเพิ่มขึ้น 6,721 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 6,606 ล้านบาท โดยได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(กพอ.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาเห็นชอบในวันเดียวกัน

 

 

เบรกอุ้มเอกชน  มาบตาพุดเฟส3

นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ข้อสรุปของจำนวนเงินที่รัฐร่วมลงทุนและผลประโยชน์ตอบแทนรัฐและเอกชนนั้น จะต้องรอความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ในวันที่ 4 มิถุนายน 2562 จากนั้นคณะกรรมการจะส่งร่างสัญญาไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาร่างสัญญาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 และคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่าง กนอ.-กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และพีทีที แทงค์ ภายในเดือนกรกฎาคม 2562

ทั้งนี้จากความเห็นของหน่วยงานต่างๆ ที่ตั้งข้อสังเกตการ ปรับปรุงหลักการของโครงการดังกล่าวที่เคยเสนอต่อคณะรัฐมนตรี พิจารณาไปก่อนหน้านี้นั้น

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นว่ารัฐจะจ่ายเงินลงทุนเพิ่มขึ้นขณะที่ผลตอบแทนที่กนอ.จะได้รับนั้นลดลงประมาณ 29% จากเดิมที่เคยศึกษาไว้ในรายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2561 และเห็นควรให้กพอ.และกนอ.ใช้กลไกการเจรจาต่อรองให้ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรายงานผลการศึกษา เนื่องจากวงเงินลงทุนของโครงการได้ครอบคลุมถึงค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด และอัตราค่าเสียโอกาสทางการเงินแล้ว

อีกทั้ง การลงทุนดังกล่าวเอกชนได้รับผลตอบแทนอยู่ในระดับที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงในระดับเดียวกัน และหากกรณีเอกชนไม่เห็นด้วยหรือไม่ได้ข้อยุติ ควรจะพิจารณาแนวทางอื่น ที่จะช่วยภาระค่าลงทุน เช่น การระดมทุนออกพันธบัตร จะช่วยกนอ.ได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่ประมาณการไว้และลดความเสี่ยงทางการเงินของกนอ.ในอนาคตด้วย

ขณะที่กระทรวงการคลังเห็นว่า หากกนอ.จ่ายเงินไม่เกิน 720 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 30 ปี จะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินของกนอ.ลดลงจากมูลค่าปัจจุบันสุทธิประมาณ 9,311 ล้านบาท เป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิประมาณ 6,606 ล้านบาท หรือเงินหายไป 2,705 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแผนการดำเนินงานและก่อให้เกิดภาระทางการเงินในอนาคตของกนอ. อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนสำนักงบประมาณ เห็นว่า การขอเปลี่ยนแปลงวงเงินร่วมลงทุนของรัฐจากอัตราคิดลด เพื่อให้โครงการดำเนินการได้นั้น จะต้องไม่เป็นผลให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกับเอกชนราย อื่นๆที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการยื่นข้อเสนอโครงการ 

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,474 วันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เบรกอุ้มเอกชน  มาบตาพุดเฟส3