ธนชาต ส่งทริกเกอร์ฟันด์ T-Challenge 25 เป้าเลิก 6%

24 มี.ค. 2559 | 06:54 น.
บลจ.ธนชาต เชื่อตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาส หลังเริ่มมีแรงซื้อสุทธิจากต่างชาติ มั่นใจยังมีหุ้นดีราคาถูกพื้นฐานแน่นให้รอลงทุน พร้อมออกทริกเกอร์หุ้นไทย T-Challenge 25 เป้าหมายเลิกโครงการที่ 6% ใน 1 ปี เปิดขายวันนี้ถึง 29 มีนาคมนี้

นายบุญชัย  เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบการเงินทั่วโลกยังมีอยู่สูง และอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ   บางประเทศหันมาใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง เพราะคาดหวังผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ย แต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังมีปัจจัยภายนอกเข้ามารบกวนความเชื่อมั่นของตลาดอยู่เนืองๆ ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในทางหนึ่งก็ถือเป็นการสร้างโอกาสเข้าทำกำไรในกรอบแคบๆ ได้

“เริ่มมีแรงซื้อสุทธิกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย เพราะทั้งญี่ปุ่นและยุโรปต่างใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจในเชิงเปรียบเทียบ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้ว 9,339 ล้านบาท ทำให้บรรยากาศหุ้นไทยเริ่มสดใสขึ้น และเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะค่อยๆ กลับมาเติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี  ซึ่ง บลจ.ธนชาต คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ประมาณ 10-12%”

เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าว บลจ.ธนชาต จึงได้ออกกองทุน T-Challenge 25 เป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์มีอายุประมาณ 1 ปี เงื่อนไขการเลิกกองทุน คือ เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.71 บาทขึ้นไป โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 6% ภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้ในระหว่าง 1 ปีแรก จะรับซื้อหน่วยลงทุนอัตโนมัติ หากกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 3% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก แต่จะไม่เกิน 2 ครั้ง  โดยจะเปิดขายระหว่างวันที่ 24 - 29 มีนาคม 2559   ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท

กลยุทธ์ของกองทุนนี้ ในระยะแรกจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่อาจเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กในช่วงสั้นเมื่อเห็นจังหวะ และเน้นให้น้ำหนักในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงพยาบาล และอาจให้น้ำหนักกับกลุ่มไอซีที หากเห็นว่าราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ