หุ้น 5 กลุ่มโดนหางเลข ‘TECH WAR’ ASP แนะหลบภัยลงทุนหุ้นไฮยีลด์

26 พ.ค. 2562 | 07:22 น.

ASP ชี้ 5 กลุ่มเซ็กเตอร์ ได้รับผลกระทบ TECH  WAR อิเล็กทรอนิกส์-ปิโตรฯ-ยานยนต์-อสังหาฯ-ประเมินหุ้นกลุ่มไอซีที กระทบระยะสั้น เหตุส่วนแบ่งตลาด HUAWEI เพียง 18% แนะเลี่ยงลงในหุ้นกลุ่ม TECH หันไxลงในหุ้นปันผลสูง

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัสฯ จำกัด (มหาชน)  (ASP)  วิเคราะห์ผลกระทบในหัวข้อ “Trade War สู่ Tech War” ว่า ล่าสุดจากการที่สหรัฐฯปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ 10%  เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยช่วง 2 สัปดาห์นี้ปรับลดลงกว่า 70 จุด หรือลดลง 4.2% ส่งผลให้ Expeted P/E ลงมาอยู่ระดับ 15.1 เท่า ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค และมีแนวโน้มที่ SET Index จะหลุด 1600 จุด

หุ้น 5 กลุ่มโดนหางเลข  ‘TECH WAR’  ASP แนะหลบภัยลงทุนหุ้นไฮยีลด์

ส่วนการที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ในวงเงินที่เหลืออีก 3.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่จะมีการประชาพิจารณ์ในเร็วๆ นี้หรือไม่? ความเห็นส่วนตัวมองว่าเป็นไปได้ทั้งนั้น รวมถึงการควํ่าบาตรสินค้าของจีนเพิ่ม เช่น กรณี Huawei และกลุ่มบริษัทผู้ผลิตกล้องวงจรปิด  

ส่วนจีนเองยังสามารถตอบโต้ ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 5-25%  จากเดิมที่ 5-10% มีผลวันที่ 1 มิถุนายนนี้ การแทรกแซงค่าเงินหยวนชดเชยภาษีที่สหรัฐฯปรับขึ้น โดยปี 2561 ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง 5-6% และปลายเดือนเมษายน2562 เป็นต้นมา เงินหยวนอ่อนค่าแล้ว 2.46%  นอกจากนี้จีนยังสามารถขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองเป็นอันดับ 1 ที่มีถึง 1.12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  รวมถึงการควํ่าบาตรธุรกิจของสหรัฐฯในจีน และอาจขึ้นภาษีนำเข้าหรือระงับส่งออกแร่ Rare Earth ซึ่งจีนเป็นแหล่งผลิตสัดส่วน 90% ของโลก 

“ASP อยู่ระหว่างทบทวนปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 ลงจากเดิมที่คาดไว้ 3.4% และส่งออกโต 0.5% หลัง 4 เดือนแรกส่งออกหดตัว 1.9% โดยมีแนวโน้มส่งออกทั้งปีจะติดลบ 2% ส่งผลต่อรายได้และการบริโภคโดยรวม กดดันให้เศรษฐกิจปีนี้  อาจโตเพียง 3.1%”

ส่วนเซ็กเตอร์ที่จะได้ประโยชน์จากสงครามการค้า ได้แก่ 1. กลุ่มส่งออกอาหาร จากต้นทุนวัตถุดิบกากถั่วเหลืองที่ปรับลดตํ่าสุดในรอบ 10 ปี 8.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บุชเชล และราคากากถั่วเหลือง ตํ่าสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 287.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน และ 2. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากบริษัทที่ผลิตสินค้าในจีนจะมีต้นทุนสูงขึ้น จึงมีโอกาสสูงที่จะย้ายฐานมายังเอเชีย รวมถึงประเทศไทย อีอีซี ที่จะได้อานิสงส์

ขณะที่ 5 เซ็กเตอร์ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ 1. ปิโตรเลียม-นํ้ามัน จากความต้องการบริโภคนํ้ามันโลกที่อาจลดลง จากสหรัฐฯและจีน 2. กลุ่มยานยนต์ ที่มีความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้า Safe Guard 25% (หุ้นAH, SAT, STANLY) 3. ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จากแนวโน้มส่งออกไปจีนชะลอลง และค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาค (หุ้น DELTA, HANA, KCE, SVI) 4. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อจีนชะลอตัว โดยจีนเป็นผู้ซื้อ 20-30% ของกำลังซื้อทั้งหมดของอสังหาฯในไทย และ 5. กลุ่มไอซีที ค้าปลีก ปัจจุบัน Huawei มีส่วนแบ่งตลาดราว 18% ของยอดจำหน่ายมือถือในประเทศไทย    โดยสัดส่วน 50% มาจากผู้ให้บริการมือถือ (ADVANC, DTAC และ TRUE) ผลกระทบระยะสั้นเพราะทั้ง 3 ค่ายมีสินค้าที่กระจายหลายแบรนด์ ส่วน 50% ที่เหลือเป็นการขายผ่านร้านค้า Chain Store อาทิ  JMART, COM7, TG Fone และร้านค้ารายย่อย  

 

ASP แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่ลงในกลุ่ม TECH หรือกองทุนในประเทศที่ลง “GLOBAL EQUITY” ปัจจุบันมี 51 กองทุน ส่วนใหญ่ลงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และพบสัดส่วนอันดับ 1 ลงในกลุ่ม TECH 

โดยแนะลงในหุ้นที่จ่ายปันผลสูงและจ่ายสมํ่าเสมอ ได้แก่หุ้น PSH (ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท อัพไซด์ 10.8%), EASTW (ราคาเป้าหมาย  13.50 บาท อัพไซด์ 14.4%)  LH (ราคาเป้าหมาย 13.60 บาท อัพไซด์ 27.1%), DRT (ราคาเป้าหมาย 6.58 บาท อัพไซด์ 13.4%)  KKP (ราคาเป้าหมาย 75.60 บาท อัพไซด์ 13.7%), THANI (ราคาเป้าหมาย 7.60 บาท อัพไซด์ 32.2%) INTUCH (ราคาเป้าหมาย 69.70 บาท  อัพไซด์ 20.2%) และ JMT  (ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท อัพไซด์ 14.4%)

ส่วนหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาห กรรมที่ได้ประโยชน์ ได้แก่หุ้น  WHA, AMATA, FPT หุ้น Top Pick เลือก EASTW และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเลือก FPT 

 

ด้าน บล.กรุงศรีฯ ประเมินปัจจัยการเมืองไทย โดยยังคง base-case scenario ว่าสถานการณ์การเมืองไทยจะ “นิ่ง” หลังการตั้งรัฐบาลใหม่และมีการตั้งนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยจากสถิติการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ 6 ครั้ง ในอดีต SET Indexจะวิ่งขึ้นมา 4% ในช่วงหลังเลือกตั้ง ถือเป็นโอกาสให้เข้าสะสมหุ้นที่ราคาหุ้นปรับตัวตามหลังตลาดโดยรวมและยังเหลืออัพไซด์ที่จะถึงราคาเป้าหมายอีกมาก เพื่อรอลุ้น “post-election rally” โดยคาดว่าตลาดจะมีอัพไซด์ 4% จากการปรับตัวขึ้นรอบนี้ หุ้นเด่นได้แก่ BBL, BDMS, MTC  และ PRM พร้อมแนะให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่เหลืออัพไซด์น้อย ได้แก่ CBG, CKP, GULF, KTC และ MAJOR 

 

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3473 วันที่ 26-29 พฤษภาคม 2562

หุ้น 5 กลุ่มโดนหางเลข  ‘TECH WAR’  ASP แนะหลบภัยลงทุนหุ้นไฮยีลด์