สงครามการค้าพ่นพิษ กบข.ลดพอร์ตลงทุนตปท.2%

23 พ.ค. 2562 | 10:02 น.

กบข.ปรับลดการลงทุนในตปท.จาก 22% เหลือ 20เหตุสงครามการค้าจีน-สหรัญฯ คาดเดายาก แต่คงสัดส่วนลงทุนหุ้นไทย ชี้ระยะกลางยังดี ผลตอบแทนล่าสุด 3.17% คาดทั้งปีแตะ 5-6%

               นายวิทัย รัตนา เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จข้าราชการ(กบข.)เปิดเผยว่า สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่รุนแรงขึ้นนั้น ยังคาดเดาทิศทางได้ยาก เพราะมีเรื่องใหม่ทุกวัน นักลงทุนสถาบันต้องระมัดระวังการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกบข.ได้ลดสัดส่วนการลงทุนหุ้นต่างประเทศ]’จากช่วงต้นปีที่ลงทุน 22% เหลือ 20% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป

สงครามการค้าพ่นพิษ กบข.ลดพอร์ตลงทุนตปท.2%

               ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังคงสัดส่วนการลงทุนไว้ที่ 7%  จากปีก่อน โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะกลางมีความเสี่ยงขาลงจำกัด ซึ่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าบ้าง แต่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงไม่มาก อย่างไรก็ตามหากมีความผ่อนคลายสงครามการค้าฯ และการเมืองในประเทศ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจจะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
 

สำหรับพอร์ตการลงทุน ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2562 แบ่งเป็น ตราสารทุน 21% แบ่งเป็นหุ้นไทย 7.3% หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว 6.6% หุ้นตลาดเกิดใหม่ 3.9%  Private Equity 3.1% และ ตราสารหนี้ 66% แบ่งเป็น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย 23.9%  ตราสารหนี้ระยะสั้นไทย 19.4%  ตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย 19.2%  ตราสารหนี้อ้างอิงเงินเฟ้อ 1.5% ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ 2.3% และอื่นๆอีก 13% แบ่งเป็น อสังหาริมทรัพย์ 8.2% โครงสร้างพื้นฐาน 1.8%  Absolute Return Fund 2.9%

สงครามการค้าพ่นพิษ กบข.ลดพอร์ตลงทุนตปท.2%
               ขณะที่สิ้นปี 2561 มีการลงทุนในตราสารหนี้ 68% แบ่งเป็น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย 20%  ตราสารหนี้ระยะสั้นไทย 28.1% ตราสารหนี้ภาคเอกชนไทย 17.2% ตราสารหนี้อ้างอิงเงินเฟ้อ 1.6% ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ 0.8% และตราสารทุน 19% แบ่งเป็น หุ้นไทย 6.8% หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว 6.1% หุ้นตลาดเกิดใหม่ 3.2% Private Equity 2.9% และ อื่นๆ 13% แบ่งเป็น อสังหาริมทรัพย์ 8.5% โครงสร้างพื้นฐาน 1.9% Absolute Return Fund 3%

               “กบข.มีสินทรัพย์การลงทุนทั้งหมด 9 แสนล้านบาท ผลตอบแทนจากการลงทุนของกบข.ตั้งแต่ต้นปีถึง 3 พฤษาภาคมอยู่ที่ 3.17% ถือว่า ชนะทุกกองทุนที่มีการลงทุนในลักษณะเดียวกัน และมั่นใจว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนปีนี้จะอยู่ที่ 5-6% โดยยังเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 3-5 ปี อย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนั้นกบข.ยังอยู่ระหว่างเจรจากับนักลงทุนสถาบันในประเทศทั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ขนาดใหญ่ 7 แห่ง สำนักงานประกันสังคม และบริษัทประกันชีวิต เพื่อร่วมสร้างหลักเกณฑ์การลงทุนใหม่ หรือหลักเกณฑ์ไม่ลงทุนในบริษัทที่มีปัญหา (Negative List Guideline) เช่น บริษัทที่ไม่มีธรรมาภิบาล บริษัทที่โดนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)กล่าวโทษ ทั้งการปั้นหุ้น การนำข้อมูลภายในมาซื้อขายหุ้น(อินไซต์เดอร์ เทรดดิ้ง) โดยคาดว่า จะลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน(MOU)ได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562

สงครามการค้าพ่นพิษ กบข.ลดพอร์ตลงทุนตปท.2%

               “Negative List Guideline จะเป็นเกณฑ์ที่บอกว่า เราจะไม่ลงทุนกับบริษัทเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นการใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตเท่านั้น ไม่นับรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเบื้องต้น จะมีการตกลงกันไม่ให้ซื้อหุ้นเหล่านั้นเป็นเวลา 3-6 เดือนหรือตามเวลาที่กำหนด จนกว่าปัญหานั้นจะถูกแก้ไขแล้ว ถึงจะกลับมาซื้อหุ้นได้ตามเดิม ซึ่งก็เป็นความพยายามของ กบข. ที่จะชักชวนนักลงทุนสถาบันให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลในตลาดทุน ตามหลัก ESG โดยเราเริ่มต้นจาก G(Government) ก่อน  เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2563 กบข.จะเป็นนักลงทุนสถาบันที่ลงทุนในหุ้นที่มี ESG 100% ”

               นายวิทัยกล่าวต่อว่า หลังจากกบข.เปิดให้บริการ My GPF เต็มรูปแบบไปเมื่อมีนาคม 2562 มีสมาชิกเข้ามาใช้บริการสูงเกือบ 400,000 ครั้งและใช้สิทธิรับสวัสดิการกว่า 40,000 ครั้ง และเพื่อต่อยอดยุทธศาสตร์ Member Centric และ Pride of Members อย่างต่อเนื่อง กบข. จึงเปิด "ศูนย์ข้อมูลการเงิน" (Financial Assistant Center) เพื่อเป็นที่พึ่งของสมาชิก เมื่อต้องตัดสินใจทางการเงิน โดยศูนย์ฯ ประกอบด้วยบุคลากรที่ได้รับคุณวุฒินักวางแผนการเงิน CFP และที่ปรึกษาการเงิน AFPT จากสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ทำให้มั่นใจว่า สามารถให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ทางการเงินและแนวทางการจัดการเงินได้เป็นอย่างดี มีบริการแบบส่วนบุคคล (Personalized Service) ทั้งนัดหมายเพื่อติดต่อกลับทางโทรศัพท์ วิดีโอคอล (Live Chat) หรือนัดพบเจ้าหน้าที่ (One-on-One) หรืออีเมลสอบถามมาที่ [email protected]

สงครามการค้าพ่นพิษ กบข.ลดพอร์ตลงทุนตปท.2%